สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1446 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1346

พอเดินออกมาจากบริษัทหลินซื่อแล้ว พระอาทิตย์ในเวลา 12 นาฬิกาตอนเที่ยงวันก็ทำให้ติงยียีต้องหรี่ตาไปมา และวิ่งไปตามทางเล็กๆจนถึงร้านอาหารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วต่อคิวซื้ออาหารให้เพื่อนร่วมงาน
ในร้านอาหาร หลินเจี๋ยเห็นติงยียี จึงถามด้วยความแปลกใจว่า “ตัวคนเดียวกินเยอะขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
ติงยียีจึงยิ้มแล้วพูดว่า “เปล่าค่ะ ฉันออกมาทานอาหาร แล้วก็เอาไปให้เพื่อนร่วมงานด้วยค่ะ”
หลินเจี๋ยโบกมือไปทางผู้ช่วย แล้วผู้ช่วยก็รับกล่องอาหารกลางวันที่อยู่ในมือของเธอมา ติงยียีคิดอยากจะหยิบมันกลับมาด้วยความประหลาดใจ หลินเจี๋ยจึงโบกมือแล้วพูดว่า “เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ผมมีธุระที่จะต้องไปที่บริษัทเย่ซื่อสักหน่อย ผู้ช่วยของผมเธอไม่สะดวก คุณไปกับผมนะ”
เมื่อติงยียีเห็นผู้ช่วยที่กำลังยิ้มให้ตัวเองอย่างฮึกเหิมและมีชีวิตชีว่า เธอก็จำใจต้องเดินตามหลังประธานกรรมการหลินไปทุกย่างก้าว
ณ บริษัทเย่ซื่อ ไห่โจ๋ซวนถือหนังสือสัญญามาและพูดว่า “ศูนย์การค้านานาชาติได้เริ่มก่อสร้างแล้ว แต่ทีมก่อสร้างที่ควบคุมอยู่ในขณะนี้ไม่น่าจะก่อสร้างได้ทันตามแผนงานที่เราวางไว้ล่วงหน้า ฉันจะหาทีมก่อสร้างทีมใหม่มารับผิดชอบงานอีกชิ้นหนึ่ง นายดูหน่อยสิว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
เย่เนี่ยนโม่วางมือบนสัญญาและผลักออกไปตามใจชอบ จากนั้นก็ตบไหล่ของเขาแล้วพูดก็ว่า “ยังจะมาทำท่าทางเกรงอกเกรงใจกับฉันอีก ฉันจะไม่เชื่อใจนายขนาดนั้นเชียวหรือ เสียแรงที่เป็นพี่น้องกันซะแล้ว”
ไห่โจ๋ซวนยิ้มแล้วเก็บสัญญาขึ้นมา จากนั้นประตูก็ถูกเคาะ และหลินเจี๋ยก็เดินเข้ามา
“ลุงหลิน คุณลุง” เย่เนี่ยนโม่กับไห่โจ๋ซวนรีบลุกขึ้นมา หลินเจี๋ยยิ้มแล้วแสดงท่าทางบอกเป็นนัยให้ทั้งสองคนนั่งลง “เนี่ยนโม่ ลุงเอาของขวัญมาส่งให้เธอแล้ว ตอนนี้กำลังรอเธออยู่ที่ร้านกาแฟด้านล่างบริษัทของพวกเธอ”
“ของขวัญเหรอครับ?” เย่เนี่ยนโม่มองเขาอย่างระแวงสงสัย ไห่โจ๋ซวนลุกขึ้นมายิ้มและพูดว่า “ร้านกาแฟเหรอ พอดีเลย ฉันก็อยากดื่มกาแฟอยู่เหมือนกัน ไปด้วยกันเถอะ”
“จะถือโอกาสเข้าไปเพิ่มความยุ่งยากให้เขาทำไม เธอกลับมานี่ๆ เรามาคุยเรื่องอื่นกันสักหน่อยดีกว่า”ไห่โจ๋ซวนมองเขาอย่างกลัดกลุ้มใจ แล้วจำใจนั่งลงอย่างไม่มีทางเลือก
เมื่อเห็นเย่เนี่ยนโม่เดินออกไปแล้ว ไห่โจ๋ซวนก็เกิดความรู้สึกสนใจอย่างที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก จึงถามขึ้นมาว่า “คุณลุงครับ คุณลุงเตรียมของขวัญอะไรให้เนี่ยนโม่เหรอครับ?”
หลินเจี๋ยตบไปที่ไหล่ของเขา แล้วพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “เจ้าเด็กน้อยเธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ควรจะหาแฟนสักคนได้แล้ว ใครๆก็กลัวว่าเด็กๆในบ้านจะมีข่าวฉาวเรื่องความรักกัน ส่วนฉันแทบอยากให้เธอมีข่าวฉาวเรื่องความรักกับเขาบ้างจนใจจะขาด ฉันว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆจากบ้านตระกูลเย่ก็ไม่เลวเลยนะ!”
“คุณลุง!”ไห่โจ๋ซวนลากโทนเสียงขึ้นสูง พอสังเกตเห็นว่าตัวเองยั้งสติไม่อยู่ เขาจึงไอแห้งๆเหมือนกับจะปิดบังอะไรอยู่แล้วพูดว่า “หรือว่าลุงไม่เคยคิดว่าพ่อของผมจะไม่อยากให้ผมกับตระกูลเย่ใกล้ชิดกันมากเกินไป?”
สวีเห้าเซิงตกตะลึง แล้วพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจว่า “จะเป็นไปได้ยังไง!” ไห่โจ๋ซวนค่อยๆกำมือที่อยู่ใต้โต๊ะให้แน่นๆ ทำไมทุกคนถึงให้อภัยทุกสิ่งทุกอย่างที่ตระกูลเย่ได้ทำเอาไว้อย่างง่ายดาย เขาจะไม่มีทางให้อภัย และเขาจะต้องทำลายตระกูลเย่ให้ได้อย่างแน่นอน!
พอเย่เนี่ยนโม่เดินมาถึงร้านอาหาร บริกรก็พาเขาไปที่ห้องอาหารห้องเล็กโดยอัตโนมัติ ภายในห้องอาหารมีคนที่สวมหน้ากากตุ๊กตามาสคอตกระต่ายสีขาวกำลังนั่งอยู่ตัวหนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้น?” เย่เนี่ยนโม่ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ บริกรยิ้มระรื่นและพูดว่า “มีแขกที่แซ่หลินท่านหนึ่งบอกว่านี่เป็นเซอร์ไพรส์ที่จะมอบให้คุณค่ะ”
ประตูถูกปิดลง เย่เนี่ยนโม่เดินเข้าไปใกล้ตุ๊กตามนุษย์ ตุ๊กตามนุษย์ขยับเขยื้อนไปมา จากนั้นก็ส่ายหน้าขึ้นๆลงๆ เย่เนี่ยนโม่จึงพูดว่า “คุณต้องการให้ผมถอดหมวกออกมาเหรอ?”
กระต่ายพยักหน้า เย่เนี่ยนโม่ก้าวไปข้างหน้าและจับหูกระต่ายด้วยมือทั้งสองแล้วถอดหน้ากากตุ๊กตาออก ก็เห็นติงยียีที่ร้อนจนหน้าแดงก่ำไปหมดอยู่ในหน้ากาก เขาจึงหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจ เขาดึงหูกระต่ายและพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า “เหมือนมากจริงๆ”
“ประธานกรรมการบอกว่าถ้าฉันไม่แสดงเป็นกระต่ายก็จะหักเงินเดือนฉัน!” ติงยียีอยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา พอเย่เนี่ยนโม่ก้าวไปข้างหน้าและเหยียดมือออก เธอก็ถอยมาข้างหลังทันที มือของเย่เนี่ยนโม่จึงค้างอยู่ในอากาศ ผ่านไปสักพักจึงพูดขึ้นมาว่า “ผมยุ่งแล้ว”
ติงยียีจึงจัดทรงผมให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว เย่เนี่ยนโม่มองดูนาฬิกา แล้วพูดว่า “ทานข้าวหรือยัง?”
ติงยียีส่ายหน้า เขาจึงขมวดคิ้ว แล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู และพูดกับบริกรที่อยู่ด้านนอกว่า “ขออาหารปรุงสุกที่ค่อนข้างด่วนจำนวนหนึ่งครับ”
พอเขากลับเข้าไปในห้องอาหารใหม่อีกครั้ง ติงยียีก็มองซ้ายแลขวา เมื่อเย่เนี่ยนโม่เข้ามาใกล้ๆเธอก็หนีไปด้านข้าง เย่เนี่ยนโม่เหยียดแขนทั้งสองข้างออกไปโอบสองข้างของโซฟาเอาไว้ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อยและมองเข้าไปในดวงตาของเธอ แล้วพูดว่า “ทำไมหลายวันมานี้เธอไม่ตอบข้อความของฉันเลยล่ะ?”
“ฉันหลับไปแล้ว!” ติงยียีตะโกนออกไปอย่างแข็งนอกอ่อนใน เธอไม่อาจยอมรับได้ว่าเป็นเพราะเธอไม่รู้ว่าจะกลับยังไงดังนั้นก็เลยยอมทำลายตัวเอง
“เป็นอย่างนี้เองเหรอ?” เย่เนี่ยนโม่ลู่ตาลงเล็กน้อย สักครู่หนึ่งก็พูดว่า “จะต้องทำยังไง?”
“เอ๊ะ?” ติงยียีมองเขาด้วยความสงสัย เย่เนี่ยนโม่จึงพูดต่อไปว่า “จะต้องทำยังไงเธอถึงจะเชื่อว่าฉันกับอ้าวเสว่เป็นแค่อดีตไปแล้ว?”
ทันใดนั้นเรื่องที่ทำให้อึดอัดใจก็ถูกเปิดเผยออกมา ติงยียีรู้สึกสับสนวุ่นวายใจจนไม่รู้ว่าจะเอามือไม้ไปวางไว้ที่ไหน และแล้วประตูก็ถูกเคาะ เย่เนี่ยนโม่จึงปล่อยให้เธอไปเปิดประตู แล้วพูดอย่างเฉยเมยโดยหันหลังให้เธอว่า “ฉันจะไม่บังคับเธอ”
บนโต๊ะอาหาร เพราะว่าเขาพูดเช่นนั้นออกมา แม้แต่อาหารที่อยู่ตรงหน้าก็จืดชืดไม่มีรสชาติไปแล้วเล็กน้อย พอติงยียีอยากจะคีบหน่อไม้ฝรั่ง จานหน่อไม้ฝรั่งก็ถูกเย่เนี่ยนโม่เคลื่อนออกไป พออยากจะคีบเนื้อสไลซ์ เนื้อสไลซ์ก็ถูกเคลื่อนออกไปอีก เธอจึงเงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงง
“เมื่อกี้ฉันกำลังคิดอยู่ตลอดเวลาเลยว่าจะกระชับระยะห่างของเธอกับฉันให้ใกล้กันได้ยังไง” เย่เนี่ยนโม่พูดช้าๆ
“แล้วยังไงล่ะ?” ติงยียีรู้สึกอึดอัดกับหัวข้อสนทนานี้มาก แต่กระบวนความคิดกลับอดไม่ได้ที่จะเดินตามเขาไป เย่เนี่ยนโม่ยิ้มและวางจานอาหารทั้งสองจานไว้ข้างหน้าเธอ แล้วพูดว่า “ดังนั้นตอนนี้เราก็มาทำความเข้าใจกันให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีกกันเถอะ”
ทำความเข้าใจกันให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเหรอ? ลึกซึ้งยิ่งขึ้นยังไง? ติงยียีมองดูเขาหยิบปากกาด้ามหนึ่งขึ้นมาเขียนหมายเลขโทรศัพท์อย่างงุนงง แล้วเขาก็พูดว่า “เริ่มต้นด้วยการทำความคุ้นเคยกับหมายเลขโทรศัพท์ก่อนก็แล้วกัน!”
ทำอะไรเนี่ย! เธอไม่รู้วิธีเล่นเกมไร้เดียงสาแบบนี้ด้วยซ้ำ “ไม่เล่นก็จะถูกหักเงินเดือนนะ” เย่เนี่ยนโม่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ติงยียีจ้องมองเขาด้วยตาถมึงทึง เย่เนี่ยนโม่ทอดสายตาไปบนแผ่นกระดาษ แล้วมองเธออย่างแผ่วเบา ตราบใดมีชีวิต ย่อมต้องมีความหวัง! เธอหยิบหมายเลขโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วจดจำหมายเลขที่อยู่บนการ์ดด้วยสีหน้าที่โมโหเดือดดาล แต่ภายในใจกลับมีความกลัดกลุ้มเต็มไปหมด
“17813509233 ท่องเสร็จแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะคุณผู้จัดการใหญ่เย่” ติงยียีวางการ์ดลง แล้วมองเขาอย่างเย็นชา จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินจากไป
ในขณะที่มือของเธอวางอยู่บนลูกบิดประตู “17890023368” ติงยียีก็หันศีรษะไปฟังหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเองที่เย่เนี่ยนโม่พูดออกมาจากปากด้วยความประหลาดใจ เย่เนี่ยนโม่มองเธอและพูดอย่างเฉยเมยว่า “ตอนนี้ก็ถือว่าทำเรื่องแรกสำเร็จแล้วสินะ ลำดับต่อไปก็เรื่องที่สอง” ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ติงยียีจึงรีบรับสาย
“สวัสดีครับ คุณติงยียี คุณจำผมได้ไหมครับ?” เสียงในโทรศัพท์มีเสียงหัวเราะแฝงมาด้วย
“คุณคือ?” ติงยียีเห็นว่าเบอร์ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์โทรศัพท์จากเมืองนอก ทันใดนั้นเธอก็เลยรู้สึกระแวงขึ้นมาเล็กน้อย
“คุณยังจำบทในละครโทรทัศน์เรื่องหนึ่งที่คุณเคยเป็นดารารับเชิญก่อนหน้านี้ได้ไหมครับ”ผู้ชายที่อยู่ในสายดูเหมือนจะคาดคิดว่าเธอจะต้องลืมไปแล้วแน่ๆ ก็เลยพูดคำพูดที่สั้นๆและรวบรัดออกมา
ติงยียีมองเย่เนี่ยนโม่ เขาจึงหยิบโทรศัพท์กลับมาแล้วกด Speaker phone ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ผู้ชายที่อยู่ในสายพูดว่า “ตอนนี้ภาคสองก็ใกล้จะถ่ายทำใหม่แล้วครับ ทีมงานล้วนเป็นทีมงานเดิมหมด คุณอยากจะมาเข้าร่วมงานประชุมเปิดกล้องไหมครับ?”
ติงยียีรู้สึกประหลาดใจมาก ตัวเองปรากฏตัวแค่ตอนสองตอนเท่านั้น อีกฝ่ายหาตัวเองเจอได้ยังไง? ผู้กำกับหัวเราะฮ่าๆๆแล้วพูดว่า “ที่ผมโทรมาครั้งนี้ผมแค่อยากจะขอยืมเจ้าสุนัขพันธุ์ทิเบตันมาสทิฟตัวนั้นที่ผมเห็นในตอนแรกสักหน่อยได้ไหมครับ?”
แพนด้าเหรอ? ติงยียีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบตกลงไปอย่างรวดเร็ว เย่เนี่ยนโม่ที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้ว ผู้กำกับคนนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงในวงการ เขามาตามหาติงยียีอย่างกะทันหันแบบนี้เขาจะต้องไม่หยุดอยู่ที่การยืมสุนัขไปง่ายๆอย่างแน่นอน
พอเดินไปส่งติงยียีแล้ว เย่เนี่ยนโม่ก็กลับไปที่ออฟฟิศ ไห่โจ๋ซวนยังคงอยู่ที่นั่น และได้ถือบัตรเชิญใบหนึ่งมายื่นให้เขาแล้วพูดว่า “นายไปเล่นละครตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย”
“ไม่ใช่ฉัน เป็นยียีต่างหาก” เย่เนี่ยนโม่ถือโอกาสเอาบัตรเชิญไปวางไว้ในตู้ แล้วความเป็นไปได้หลายอย่างก็ได้ปรากฏขึ้นมาในสมองของไห่โจ๋ซวน
เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงล้อเล่นออกมาว่า “แต่ฉันได้ยินมาว่าอ้าวเสว่กลับมาแล้ว นายคงไม่ได้ไม่ชอบเธอแล้วไปชอบติงยียีหรอกนะ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ!” เย่เนี่ยนโม่นั่งอยู่บนที่นั่งในที่ประชุมและเริ่มดูแผนงาน เขาจึงไม่ได้สังเกตเห็นการแสดงออกที่ผิดปกติของไห่โจ๋ซวน ในยามค่ำคืน เสียงต่างๆเงียบสงัดลง ติงยียีกับติงต้าเฉินพูดคุยกันทางโทรศัพท์ “ยียี ขับรถเที่ยวนี้เสร็จ เดี๋ยวพ่อก็กลับไปแล้ว”
“พ่อคะ วันนี้พ่อขับรถทางไกลมาทั้งวันแล้ว กลับมาพักผ่อนเร็วๆหน่อยนะคะ” ติงยียีมองออกไปนอกหน้าต่างที่มืดมิด และเป็นกังวลเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้พ่อขับมาถึงถนนหลงฉวนแล้ว เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว พ่อซื้อมาให้ลูกแล้ว……อ๊าก!” เสียงกรีดร้องที่สั้นมากและน่าหวาดหวั่นดังขึ้นมาตามด้วยเสียงเบรคของรถที่ดังจนแสบแก้วหู จากนั้นก็ตามด้วยเสียงพุ่งชนที่ดังกึกก้อง
ติงยียีถือโทรศัพท์อย่างสั่นเทา และถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “พ่อ พ่อไม่เป็นไรใช่ไหม พ่ออย่าทำให้หนูตกใจสิ!” ไม่มีเสียงใดใดดังขึ้นมาในโทรศัพท์ ทันใดนั้นก็มีเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ที่แหลมคมดังขึ้น ไม่นานเสียงนั้นก็ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
ติงยียีพอจะรู้อยู่อย่างเลือนรางว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลับไม่อยากจะเชื่อ เธอจึงลุกจากเตียงและสวมรองเท้าแตะแล้วรีบวิ่งออกไปนอกประตู บนถนน มีรถบรรทุกขนาดเล็กคันหนึ่งพลิกคว่ำ คนที่อยู่ในรถกระเด็นออกมาจากห้องคนขับ หน้าผากชุ่มไปด้วยเลือด ร่างกายไม่ขยับเขยื้อน และกระตุกบ้างเป็นบางครั้ง
บางครั้งก็มีรถผ่านมาบนถนนสองสามคัน แต่พวกเขาก็หยุดแค่ชั่วขณะเดียวแล้วขับออกไปเร็วกว่าเดิมเพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหาขึ้น มีรถแท็กซี่คันหนึ่งจอดอยู่ข้างถนน เมื่อติงยียีลงจากรถและเห็นฉากนี้เข้าหัวใจของเธอก็แทบจะหยุดเต้น
“พ่อ!” เธอพุ่งกระโจนเข้าไปและกรีดร้องด้วยน้ำเสียงที่แหลมและเศร้ากำสรด ติงยียีเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากจมูกของเขา แต่เธอกลับไม่กล้าที่จะขยับตัวเขา “ฉันขอร้อง คุณรีบพาพ่อของฉันไปโรงพยาบาลหน่อยได้ไหมคะ!” เธอมองคนขับรถเพื่อขอความช่วยเหลือ
คนขับลังเลอยู่พักหนึ่ง จึงหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดหมายเลข 120 แล้วพูดอย่างลำบากใจว่า “น้องสาว ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากช่วยนะ เพียงแต่คุณก็รู้ว่าคนที่ขับรถแท็กซี่ค่อนข้างถือเรื่องคนตายมาก”
คนขับรถเห็นคนที่อยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน ทั้งยังเห็นห้องคนขับถูกชนจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม จึงคิดไปเองว่าอีกฝ่ายคงไม่รอดแล้ว เขาก็เลยไม่ค่อยยินดีช่วยสักเท่าไหร่
ติงยียีคุกเข่าลงกับพื้น เพื่อให้ติงต้าเฉินนอนบนตักของตัวเอง และอยากจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาคนที่รู้จักด้วยจิตใจเลื่อนลอย ไม่ว่าจะเป็นเมิ่นเจ๋ หรือไห่โจ๋ซวน ตอนนี้เธอต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก!
หลังจากควานหาอยู่นาน เธอก็จิตใจห่อเหี่ยวหลังจากที่พบว่าไม่ได้พกมือถือมาด้วย เธอจำหมายเลขโทรศัพท์ของใครไม่ได้เลย เธอพยายามคิดแล้วคิดอีก ทันใดนั้นหมายเลขโทรศัพท์ที่คุ้นเคยก็ผุดขึ้นมาในหัวสมองหนึ่งหมายเลข นั่นก็คือหมายเลขโทรศัพท์ของเย่เนี่ยนโม่ เธอจึงยืมโทรศัพท์กับคนขับรถ นิ้วของเธอสั่นจนเกือบกดผิดเบอร์ เธอพยายามกอดสักพักหนึ่งจึงสามารถโทรออกได้
ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งเงียบๆอยู่บนระเบียงภายในบริเวณวิลล่า ข้อมือห้อยอยู่กับอากาศเล็กน้อย คราบเลือดไหลลงไปตามข้อมือทีละนิดทีละน้อย แล้วหยดลงไปกระทบกับพื้นของชั้นล่างจนเกิดเป็นแอ่งเลือดขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
รถ MPVคันหนึ่งวิ่งผ่านมา เพราะวิ่งเร็วเกินไป รถจึงถูกเก้าอี้หินที่อยู่ข้างทางข่วนจนเป็นรอย ดูเหมือนว่าคนที่ลงมาจากรถจะหายไปหมดแล้ว พวกเขารีบวิ่งตะบึงเข้าไปในวิลล่าอย่างกระวนกระวายใจ
ประตูทางเข้าวิลล่ามีโคมไฟติดผนังสีเหลืองรูปห่านสองตัวแขวนอยู่ สวีเห้าเซิงมองคราบเลือดบนพื้นด้วยความตกใจ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นคนนั่งอยู่นอกระเบียงที่ไม่มีราวกั้นเพียงรำไรๆ เขาไม่กล้าส่งเสียงดังออกมาเพราะกลัวว่าอ้าวเสว่จะตกใจ สวีเห้าเซิงจึงวิ่งเข้าไปในวิลล่า แล้วขึ้นไปบนชั้นสอง

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset