สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1451 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1351

เมื่อวางสายลงแล้วหันไปดูอีกครั้ง ปรากฏ ว่าไม่เห็นติงยียีแล้ว ติงยียีส่งอาหารออเดอร์สุดท้ายเสร็จ ก็ลากสังขารที่หอบเหนื่อยกลับไปยังบริษัทหลินซื่อ
ทันทีที่เข้ามาในห้องโถง แล้วเห็นลิฟต์กำลังจะปิด ติงยียีจึงรีบตะโกนขึ้น : “รอด้วยค๊าา!”
ในลิฟต์มีเหล่าเพื่อนร่วมงานที่คุ้นเคยรีบกดปุ่มปิดก่อนโดยไม่รอติงยียีวิ่งที่วิ่งมาที่ประตูลิฟต์ ติงยียีจึงถูกทิ้งไว้นอกประตูลิฟต์อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ทันเห็นเพียงใบหน้าเหล่านั้นที่ยิ้มเยาะเย้ยหยันอย่างสะใจ
เหลืออีกห้านาทีก็จะเข้างานแล้ว เธอจึงต้องปีนทางบันได ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตั้งแต่สองสามวันก่อนแล้วตัวเองดูเหมือนจะถูกเพื่อนร่วมงานนั้นแบ่งแยก เมื่อนึกถึงในอีกสักครู่จะต้องเจอกับใบหน้าที่ไม่เป็นมิตรแม้แต่นิดเดียว ติงยียีก็ถอนหายใจแรงออกมา
“ตูตู สวัสดีตอนบ่ายจ้ะ” ทันทีที่เข้าประตูมา ติงยียีก็ทักทายกับเพื่อนร่วมงานที่เดินมาตรงหน้าที่อยู่แผนกธุรการ ผู้หญิงที่ชื่อตูตูคนนั้นเพียงแค่ยิ้มจางๆให้กับเธอแล้วก็เดินผ่านไป
“ใครก็ได้ช่วยไปถ่ายเอกสารชุดนี้ให้ผมหน่อยสิ ตอนนี้ผมยุ่งจริงๆ” เพื่อนร่วมงานชายคนหนึ่งถือชุดเอกสารลุกยืนแล้วตะโกนเสียงดังขึ้น
ติงยียีเห็นว่าไม่มีใครตอบรับเขา จึงใจดีก้าวมาข้างหน้าแล้วกล่าวขึ้น: “ฉันว่างพอดี ฉันไปให้ได้นะ” แววตาของเพื่อนร่วมงานชายที่มองเธอเต็มไปด้วยความมึนงง จากนั้นกล่าวอย่างเหินห่าง: “ไม่เป็นไร ผมไปเองแล้วกัน ความจริงก็ไม่ได้ยุ่งมากหรอก”
คนรอบข้างต่างหันมามองติงยียีด้วยแววตาที่ดูเหมือนเยาะเย้ย ติงยียีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันไปฝืนยิ้มให้กับทุกคน จากนั้นก็เดินกลับไปที่นั่งตำแหน่งของตัวเอง
“แกร๊ก!” ติงยียีเพิ่งจะนั่งลงเก้าอี้ของตัวเอง เก้าอี้ก็มีเสียงแปลกๆดังออกมา รอบข้างแอบมีเสียงหัวเราะดังขึ้น เธอจึงกดลงที่เบาะ แล้วดึงสิ่งเป็ดน้อยที่สามารถส่งเสียงร้องได้ออกมาจากในนั้น
“ทำแบบนี้จะดีเหรอ” เหยนหมิงเย้าดึงหน้าต่างบานเกล็ดลงแล้วหันไปถามอ้าวเสว่ อ้าวเสว่ถือเม็ดยาด้วยท่าทางรังเกียจแล้วกลืนลงไป ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวขึ้น : “ ฉันไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นนะ เพียงแค่เปิดเผยความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างสนิทกันระหว่างติงยียีกับประธานบริษัทหลินซื่อ และผู้จัดการทั่วไปของบริษัทเย่ซื่อเท่านั้น”
เหยนหมิงเย้านั่งอยู่ตรงข้ามเธอ สีหน้านั้นไม่เห็นด้วย อ้าวเสว่ยิ้มแล้วกล่าว : “ทำไมเหรอ หรือแม้แต่คุณเองก็รู้สึกเสียดาย”
“ใช่” เหยนหมิงเย้ากล่าวสั้นๆ อ้าวเส่วจึงกล่าวอย่างเย็นชา: “อย่างนั้นก็ใสหัวออกจากห้องสำนักงานของฉันไป”
“ผมไม่อยากเห็นคุณต้องกลืนยาทุกวัน ผมไม่อยากเห็นคุณต้องแสร้งทำเป็นมีความสุขกับการแก้แค้น ทั้งๆที่คุณไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย !” เหยนหมิงเย้าพูดจบรวดเดียว อ้าวเสว่หัวเราะเยาะ “อย่าเห็นฉันเป็นเด็กสามขวบไปหน่อยเลย”
“นี่คุณก็เห็นด้วยเหรอ” เหยนหมิงเย้ายิ้มขึ้นแล้วกล่าวด้วยสายตาที่ไร้อุณหภูมิ: “ อีกหนึ่งเดือนก็จะถึงเวลาประมูลแล้ว สู้ๆ”
ตลอดทั้งช่วงบ่าย ติงยียีนอนฟุบอยู่ที่โต๊ะอย่างหงอยเหงา มองดูอ้าวเสว่คุยกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นในห้องสำนักงานอย่างเมามัน
โทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเสียงที่เย็นชาปกติของเย่ชูหวิน “มาที่ดาดฟ้าตอนนี้หน่อย”
ติงยียีเห็นว่าไม่มีใครสังเกตตัวเอง จึงได้แอบไปที่ดาดฟ้า บนดาดฟ้า เย่ชูหวินนั่งอยู่ข้างๆจ้องมองดูก้อนเมฆที่อยู่ไกลๆ
ติงยียีดึงอยู่ที่ประตูกั้นดาดฟ้าแล้วตะโกนใส่เขาว่า “คุณรีบมาเร็ว ตรงนั้นสูงเกินไป!”
เย่ชูหวินหันมาทางเธอแล้วยิ้มให้ จากนั้นลุกก็ขึ้นก้าวออกไปด้านนอกหนึ่งก้าว ดวงตาเห็นว่ากำลังจะก้าวเหยียบสู่อากาศ “ชูหวิน!” ติงยียีจึงรีบวิ่งกระโจนไปโดยไม่สนใดๆ เย่ชูหวินคว้าแขนของเธอแล้วดึงเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเอง จากนั้นเดินขยับเข้ามาในดาดฟ้า
ขาของติงยียีนั้นอ่อนปวกเปียกไปหมด เย่ชูหวินจึงกล่าวด้วยความสงสัย: “เป็นอะไร กลัวความสูงเหรอ” เธอส่ายหน้า แล้วยิ้มให้เขาจางๆด้วยใบหน้าที่ขาวซีด
“ขอโทษที่ทำให้คุณกลัว” เย่ชูหวินโอบเธอเบาๆ สัมผัสความอบอุ่นจากฤดูร้อนบนตัวอีกฝ่าย ติงยียีหลับตาลงแล้วค่อยๆโอบเข้าที่ไหล่ของเขา บางทีบนโลกใบนี้ ยังคงมีเขาที่คอยอยู่เคียงข้างตัวเอง
ในเดือนเจ็ดมีลมเย็นๆพัดเบาๆแล้ว เย่ชูหวินหันมองติงยียีที่เคลิ้มหลับซบอยู่ที่ไหล่ของตัวเอง ในมือของเธอยังถือมาการองหนึ่งชิ้น ปากเล็กๆได้อ้าค้าง ไม่รู้ว่าฝันถึงอะไรถึงได้ส่งเสียงงึมงำ
เย่ชูหวินมองดูก้อนเมฆที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของพวกเขาทั้งสอง สีหน้าถึงแม้จะดูราบเรียบ แต่ในใจนั้นกลับกระวนกระวาย ความรู้สึกตกใจที่ได้ยินจากปากคุณลุงว่ายียีไปทำงานพาร์ทไทม์ในตอนแรกได้หายไปแล้ว และความรู้สึกที่เข้ามาแทนที่คือความเจ็บปวดที่ไม่รู้จบ
ติงยียีขยับตัว สะลึมสะลือกึ่งหลับกึ่งตื่น นานมากแล้วที่เธอไม่ได้รู้สึกสบายเช่นนี้ ทันใดนั้นดวงตาเบิกโพลงขึ้น นั่งลงแล้วยกมือขึ้นดู “ตายแล้ว! เหลือเวลาเพียงอีกหนึ่งชั่วโมงก็จะเลิกงานตอนบ่ายแล้ว ทำไงดีๆ!”
ติงยียีลุกขึ้นอย่างลนลาน เย่ชูหวินนั่งลงดึงมือของเธอแล้วกล่าวขึ้น “ลางานให้แล้ว”
“ลางานแล้ว?คุณรู้จักผู้จัดการฝ่ายบุคคลเหรอ” ติงยียีถามขึ้น เย่ชูหวินส่ายหน้า แล้วหันไปสบตากับแววตาที่สงสัยของเธอ: “ผมไม่รู้จักผู้จัดการฝ่ายบุคคลของเธอพวกคุณหรอก แต่ผมรู้จักกับท่านประธานของพวกคุณ”
“ดังนั้นนี่ถือเป็นการใช้เส้นสาย?” ติงยียีถามขึ้นอย่างไม่มั่นใจ เย่ชูหวินยิ้มแล้วพยักหน้าให้กับเธอ ติงยียีจึงนั่งกลับลงไปแล้วหันไปถาม : “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ควรทำอย่างไรดี”
เย่ชูหวินคว้าศีรษะของเธอเอนพิงเข้ามาที่ไหล่ของตัวเองอีกครั้ง แล้วกล่าวเบาๆ “นอนต่อสิ”
ในวันเสาร์ ติงยียีไปถึงโรงพยาบาลแต่เช้า ติงต้าเฉินได้ย้ายไปห้องผู้ป่วยทั่วไปแล้ว อาการบวมบนใบหน้าก็ดีขึ้นไม่น้อย
เธอยกน้ำมาหนึ่งกะละมัง ค่อยๆช่วยติงต้าเฉินเช็ดแขนเบาๆ พยาบาลที่อยู่ข้างๆอยากจะรับช่วงต่อ แต่ถูกเธอห้ามไว้ หลังจากเช็ดแขนขาเสร็จแล้วก็ได้เทน้ำทิ้งไป จากนั้นติงยียีจึงหยิบบัตรออกมาหนึ่งใบแล้วถามขึ้น : “ขออนุญาตถามว่าค่าพยาบาลของคุณเท่าไหร่คะ ฉันจะจ่ายให้คุณ หลายวันที่ผ่านมาลำบากคุณแล้วนะคะ”
“ไม่ต้องๆ คุณเย่ได้จ่ายให้แล้วค่ะ” พยาบาลรีบโบกมือปฏิเสธทันใด นายจ้างของตัวเองคนนั้นได้กำชับว่าห้ามรับเงินจากคุณผู้หญิงคนนี้เด็ดขาด
ติงยียีลังเลเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าการเป็นเพื่อนกันระหว่างชายหญิงนั้นควรต้องทำตัวต่อกันอย่างไร แค่ควรไม่ควรรับเงินจากอีกฝ่ายแค่นี้ก็ทำให้เธอปวดหัวมาก
พยาบาลเดินมาเปลี่ยนยาให้กับติงต้าเฉิน ซ่งเมิ่นเจ๋ที่อยู่ข้างๆถามขึ้นด้วยความสงสัย : “ยาน้ำตัวนี้น่าจะนำเข้านะ ราคาแพงมาก”
ติงยียีหัวใจกระตุกวูบขึ้น ถ้าหากว่าเป็นยานำเข้า เงินที่ตัวเองจ่ายไปนั้นคงไม่พออย่างแน่นอน พยาบาลยิ้มแล้วกล่าวขึ้น : “ ไม่ใช่ค่ะ ยาผลิตในประเทศ ถูกมากค่ะ”
เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนั้นหัวใจของติงยียีถึงได้เบาโล่งขึ้น พยาบาลเปลี่ยนเข็มให้ยาแล้วก็เดินออกประตูไป จากนั้นกล่าวกับเย่เนี่ยนโม่ที่อยู่หน้าประตูว่า: “ได้บอกกับคุณผู้หญิงท่านนั้นแล้วค่ะว่าเป็นยาน้ำธรรมดา”
เย่เนี่ยนโม่พยักหน้าแล้วกล่าวกำชับ: “พยายามใช้ตัวยาที่ดี แล้วอย่าบอกให้เธอทราบเป็นอันขาด” พยาบาลพยักหน้า รู้สึกอิจฉาผู้หญิงที่อยู่ในห้องผู้ป่วยคนนั้น ที่มีคนทั้งรวยแล้วยังหน้าตาดีมาคอยตามจีบตามเอาใจใส่
ติงยียีที่บังเอิญเปิดประตูพอดี จึงตะลึงงันเมื่อเห็นเย่เนี่ยนโม่ “เนี่ยนโม่ ฉันทำวินิจฉัยเสร็จแล้ว!” อ้าวเสว่เดินออกมาจากห้องวินิจฉัยข้างๆ ติงยียีจึงเข้าใจแจ่มแจ้งจึงพยักหน้าให้กับเย่เนี่ยนโม่ จากนั้นทำท่าจะจากไป
“เดี๋ยวก่อน” เย่เนี่ยนโม่ดึงมือของเธอไว้ ต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง ริมฝีปากขยุบขยิบ อ้าวเสว่ตะโกนอย่างระมัดระวังจากข้างๆ: “เนี่ยนโม่”
“ขออวยพรให้พวกคุณมีความสุข” ติงยียีสะบัดมือเขาหลุด หันหลังแล้วมองดวงตาของเขาอย่างแน่วนิ่ง นี่เป็นตอนจบที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน
เย่เนี่ยนโม่พยักหน้า แล้วกล่าวขึ้นอย่างแข้งกระด้าง : “ผมจะไม่อวยพรให้กับคุณ ไม่มีทางอวยพร” เขาสาวเท้าก้าวยาวเร็วดุจดาวตกแล้วจากไป อ้าวเสว่ก้าวเท้าสั้นไล่ตามอยู่ด้านหลัง
ติงยียีมองแผ่นหลังของเขาอย่างงวยงง จากนั้นค่อยๆย่อตัวลงแล้วกอดตัวเอง ควรจะทำอย่างไรดีกับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ แท้ที่จริงแล้วตัวเองนั้นอยู่ในสถานะใด”
ภาพทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้สายตาของสวีเห้าเซิง การตำหนิโทษตัวเอง ความเจ็บปวดใจและความรู้สึกผิดได้พุ่งถาโถมใส่ตัวเขา แต่กลับไม่สามารถทำให้เขาสั่นคลอนแม้แต่น้อย เขาจะต้องช่วยลูกสาวตัวเองให้ได้รับความสุขให้ได้
“เนี่ยนโม่!” อ้าวเสว่ก้าวสั้นเดินไล่ตาม เย่เนี่ยนโม่ได้ชะงักเท้าแล้วกล่าวขึ้น: “คุณมีความสุขไหม”
“อะไร” อ้าวเสว่ตะลึงงัน เย่เนี่ยนโม่กล่าวต่อ : “ทั้งๆที่คุณเห็นว่าผมหวั่นไหวกับผู้หญิงคนอื่น ต่อให้แบบนี้คุณก็ไม่ยอมปล่อยมือใช่ไหม”
อ้าวเสว่ยิ้มอย่างสมเพช ยื่นมือของตัวเองออกมาให้เขาดู แล้วกล่าวเบาๆ : “ฉันเองก็หวังให้ตัวเองหายจากโรคซึมเศร้าบ้าๆนี้เร็วๆเหมือนกัน”
เขารับปากกับลุงสวีว่าจะอยู่เป็นเพื่อนอ้าวเสว่จนกว่าเธอจะหายดี เธอไม่หายดี ทุกอย่างก็ไร้ทางออก
หลังจากที่ออกมาจากโรงพยาบาล ติงยียีมุ่งตรงไปที่ร้านอาหาร “วันนี้ส่งออเดอร์แค่เพียงที่เดียวเท่านั้นเหรอ!” ติงยียีกล่าวขึ้นด้วยความฉงนใจ
“ใช่ ส่งแค่เพียงที่เดียว มีลูกค้าคนหนึ่งได้เหมาจำนวนอาหารของพวกเราเป็นประจำทุกวันแล้ว ต่อไปคุณก็ส่งแค่ครั้งเดียวก็พอ” ผู้จัดการร้านอาหารกล่าว
ช่างเป็นเรื่องดีที่ตกมาจากฟากฟ้าจริงๆ อาการป่วยของพ่อดีวันดีคืน และวันนี้ยังมาได้ยินข่าวดีเช่นนี้อีก ติงยียีรู้สึกว่าความลำบากหลายวันที่ผ่านมานั้นเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมาก
นำกล่องอาหารแล้วออกจากประตู ติงยียีดูที่อยู่แล้วถึงได้รู้ว่าอยู่ห่างจากร้านอาหารเพียงไม่กี่ร้อยเมตร หลังจากสิบนาทีผ่านไป ก็มาถึงหน้าประตูสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง
“ขอถามหน่อยค่ะว่าพวกคุณได้สั่งอาหารไว้ใช่ไหมคะ” ติงยียีถามขึ้นอย่างลังเล ชายหนุ่มที่หน้าประตูยิ้มเบาๆ กล่าวขอบคุณรับกล่องอาหารแล้วก็เดินเข้าไป เหล่าเด็กๆมายืนล้อมกล่องอาหารแล้วหมุนไปมาอย่างดีใจ
ประตูถูกปิดแล้ว เย่เนี่ยนโม่ก็เดินออกมา “ขอบคุณครับลุงจาง” จางเฟิงอี้มองเด็กๆเหล่านั้นด้วยความรักใคร่เอ็นดู หลังจากที่เขาเกษียณลงก็ได้เปิดสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่หนึ่ง เย่เนี่ยนโม่มาหาตัวเองแล้วได้ยื่นข้อเสนอเหล่านั้น ตัวเขาเองก็ถึงกับตกใจ
“คุณเหมือนกับคุณพ่อของคุณมาก หากรักใครคนหนึ่งก็มักจะทุ่มเทอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่อีกฝ่ายได้รับรู้” จางเฟิงอี้กล่าวอย่างลึกซึ้ง ติดตามตระกูลเย่มาหลายปีขนาดนั้น จนเขาได้พาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเย่แล้วจริงๆ
เย่เนี่ยนโม่พยักหน้ายิ้ม ความรักนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่การเผชิญกับอุปสรรคขวากหนามรอบข้างนั้นทำให้เขาหมดกำลัง
บนดาดฟ้าของบริษัทหลินซื่อ ติงยียีมองกล่องข้าวที่อยู่บนพื้นอย่างดีใจ เย่ชูหวินเปิดออกมาทีละกล่องๆ “เป็ดปักกิ่ง ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน ปลาส้มซีหู”
ติงยียีอยากจะแอบกิน แต่ถูกเย่ชูหวินตบมือเบาๆ เย่ชูหวินกล่าวด้วยความเอ็นดู : “ล้างมือก่อน”
โทรศัพท์ดังขึ้น เย่ชูหวินรับสายโทรศัพท์ขึ้น ติงยียีรีบหยิบชิ้นเนื้อไก่ยัดเข้าปากแล้วเคี้ยว พอดีเข้ากับที่เย่ชูหวินหันมาพอดี ติงยียีตกใจจนสำลัก
เย่ชูหวินรีบลูบหลังให้เธออย่างรวดเร็ว ติงยียีหายสำลักแล้ว แต่ใบหน้าที่แดงก่ำยังคงไม่จางหาย ช่างน่าอายจริงที่แอบขโมยของทาน
เย่ชูกวินถอนหายใจ เปิดกล่องอาหารออกมาทั้งหมด แล้วหักตะเกียบให้เธอแล้วกล่าว :“ทานข้าวก่อนเถอะ” ติงยียีทานอย่างเอร็ดอร่อย เย่ชูหวินเห็นมีของติดที่มุมปากของเธอ ยื่นมืออยากช่วยเธอเช็ดออก ติงยียีกลับถอยหลบไปด้านหลัง มือของเย่ชูหวินจึงลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset