สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1456 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1356

จางถังโอบเธอไว้ มือทั้งสองข้างนัวเนียอยู่บนเรือนร่างของเธออย่างหื่นกระหาย จู่ๆโทรศัพท์ดังขึ้น โม่ซวนหลินตัดสินใจรับสาย จางถังได้ยินเป็นเสียงของเย่เนี่ยนโม่แล้วแววตาก็เย็นยะเยือกในทันใด
“ไวน์ปี82สนใจไหมครับ” น้ำเสียงแผ่วเบาของเย่เนี่ยนโม่ทำให้โม่ซวนหลินเคลิ้ม รู้สึกเจ็บปวดที่ลำคอ เธอตกใจแล้วหันกลับไปอย่างยากลำบาก จางถังใช้มือบีบที่ลำคอของเธอไว้ แล้วก็หัวเราะอย่างสะใจ
เย่เนี่ยนโม่ที่ไม่ได้ยินเสียงของฝั่งนั้น สักพักจึงกล่าวขึ้น: “เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันจะรอคุณ” โม่ซวนหลินตอบกลับอย่างกระอึกกระอัก แล้วยังมีเสียงไอดังเป็นระยะๆ
เมื่อวางสายโทรศัพท์ลง โม่ซวนหลินกุมคอแล้ววิ่งหนี จางถังกล่าวอย่างความโมโห: “คิดไม่ถึงว่าคุณจะรู้จักกับเย่เนี่ยนโม่ด้วย”
“คุณจะเอายังไง” โม่ซวนหลิน มองแววตาเขาก็รู้แล้วว่าเขามีเจตนาที่ไม่ดี จึงได้ถามอย่างระแวดระวัง จางถังที่ถือโทรศัพท์เล่นไปมา เลิกคิ้วแล้วกล่าวขึ้น “แล้วคุณคิดว่าผมจะทำอะไรเหรอ”
ในอีกห้องหนึ่งของโรงแรม ติงยียีมองเย่เนี่ยนโม่หยิบไวน์ออกมาจากตู้มาดู และกำลังจะออกจากห้องไป เธออดไม่ได้ที่จะถามขึ้น: “พวกคุณ···พวกคุณจะอันนั้นกันไหม”
“อันไหน” เย่เนี่ยนโม่แกล้งถามทั้งๆที่รู้ ติงยียีจึงลนลาน “ก็เรื่องที่ชายหญิงทำกันไง”
“คุณคิดว่าไง” เย่เนี่ยนโม่ชะงักเท้าขึ้น อิงอยู่ที่ประตูแล้วถามเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ทำไมถึงดีกับฉันขนาดนั้น” ติงยียีกล่าวพึมพำ เย่เนี่ยนโม่ที่สายตาอ่อนโยน บิดประตูขึ้นแล้วกล่าวเบาๆ: “คำถามนี้คุณสามารถค่อยๆคิดทบทวน หวังว่าเมื่อผมกลับมาจะได้รับคำตอบจากปากของคุณ”
ติงยียีเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา บ่ายสามโมง
ในห้องพักของโรงแรม โม่ซวนหลินเห็นได้ชัดว่าตื่นเต้น และยังเห็นได้ชัดเก้ๆกังๆ “คุณเป็นอะไรไป” เย่เนี่ยนโม่เห็นเธอตั้งแต่แวบแรกก็สัมผัสถึงความผิดปกติของเธอ
“ไม่มีอะไรค่ะ แค่ถูกภาพที่เดินพรมแดงเมื่อสักครู่ทำให้ตกใจ” โม่ซวนหลินการหยิบไวน์เพื่อกลบเกลื่อน เย่เนี่ยนโม่ไม่เปิดโปงเธอ แล้วก็กล่าวตรงๆ: “ไปอาบน้ำ”
แผ่นหลังของโม่ซวนหลินยืดตรงขึ้น แววตาเหลือบไปมองตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างๆอย่างไม่รู้ตัว สักพักถึงได้เดินเข้าไปที่ห้องอาบน้ำอย่างแข็งทื่อ
เย่เนี่ยนโม่มองไปยังเครื่องประดับที่เธอทิ้งไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง จึงหยิบแหวนมา ตัวแหวนดูเหมือนมีรอยขีดข่วน
เขาดูไปเรื่อยๆ ตรงที่สลักบนแหวนพบมีสีแดงเข้ม คราบเลือด?เย่เนี่ยนโม่หัวใจกระตุก แล้วก็แอบเก็บแหวนอย่างเงียบๆ
ติงยียียิ่งคิดก็ยิ่งไม่วางใจ อยู่ที่ห้องคนเดียวทำให้เธอรู้สึกฟุ้งซ่าน ทุกข์ใจ หายใจไม่ออก เมื่อนึกถึงเย่เนี่ยนโม่จะไปทำอย่างว่ากับผู้หญิงคนอื่น อีกทั้งยังทำไปเพราะช่วยเหลือพ่อของตัวเอง เธอก็เลยยิ่งกดดันเครียด
จึงแอบออกจากประตู ไม่ว่าอย่างไร เธอจะต้องไปสอดแนมสักหน่อย อันหรันมองดูหญิงสาวคนนั้นยื่นศีรษะออกจากห้องอย่างน่าขำ นี่ดูเหมือนไม่ใช่แฟนคลับธรรมดาทั่วไป ใช่แล้วเมื่อสักครู่เขายังเห็นเธออยู่ในโซนนักข่าว ยังมีผู้ชายคนนั้นที่คอยปกป้อง ที่ดูอย่างไรก็ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย
เขาเดินเข้าไปใกล้ โน้มเข้าไปกระซิบข้างใบหูเบาๆ : “คุณกำลังดูอะไรอยู่”
“อุ้ย!” ติงยียีกระโดดหนีเหมือนกับกระต่ายน้อย นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่สามารถทำให้เป็นที่สังเกตได้ จึงรีบปิดปากของตัวเอง
“คุณกำลังทำอะไร” อันหรันยิ้มแล้วถามอีกครั้ง ติงยียีส่ายหน้า
เห็นไอดอลตัวเป็นๆของตัวเองสมัยเป็นนักเรียนอย่างใกล้ชิด ติงยียีรู้สึกตื่นเต้นมาก “อันหรัน ฉันเป็นแฟนคลับของคุณค่ะ!”
“เหรอครับ อย่างนั้นต้องการลายเซ็นไหมครับ” อันหรันยิ้มเบาๆ แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่ได้มาจากดวงตา รอยยิ้มแบบนี้เป็นรอยยิ้มที่เกิดจากการสอนของครูสอนมารยาทมืออาชีพ บอกว่าเป็นรอยยิ้มที่ดึงดูดของสาวๆได้ดีที่สุด แต่ว่ามีเพียงเขาที่รู้ ทุกๆครั้งที่ตัวเองยิ้มแบบนี้นั้น ในใจแทบจะไม่มีไร้ความอบอุ่น
“ได้เหรอคะ แต่ว่าฉันไม่มีสมุดปากกา!” ติงยียีกล่าวอย่างผิดหวัง อันหรันรู้สึกว่าเธอก็เหมือนแฟนคลับเหล่านั้นที่ไม่ใช้สมองในการติดตามดารา ความอยากรู้เรื่องที่เกี่ยวกับเธอได้หายไปสิ้น ไม่อยากจะสนทนาต่อไปอีก จึงแยกยิ้มที่สวยงามออกมาแล้วกล่าว: “น่าเสียดายจังที่ผมเองก็ไม่มี อย่างนั้นผมค่อยเซ็นให้คุณเมื่อเจอกันครั้งหน้าดีไหม”
ติงยียีพยักหน้าถี่ๆ ไอดอลของตัวเองช่างอ่อนโยนจริงๆด้วย! อันหรันจากไปแล้ว ในห้องมีเสียงไม่ดังไม่เบาลอยออกมา ติงยียีรีบแนบไปที่ประตูแล้วแง้มหูฟังอย่างตั้งใจ
ในห้อง เย่เนี่ยนโม่ทับอยู่บนตัวของโม่ซวนหลิน และกำลังเล่นอยู่กับผมที่เปียกของโม่ซวนหลิน จากนั้นกล่าวอย่างเรื่อยเปื่อยว่า “สุดท้ายไม่ได้อยู่ที่เมืองตงเจียงเลยเหรอ”
“ไม่ได้อยู่ค่ะ ก่อนหน้านี้ฉันได้ไปที่เมืองตงเจียง” แก้มทั้งสองข้างของโม่ซวนหลินแดงก่ำ อุณหภูมิบนร่างกายของเย่เนี่ยนโม่ทำให้เธอเคลิบเคลิ้ม อยากจะโน้มเข้าไปจูบที่ริมฝีปากของเขา ทันใดนั้นนึกขึ้นได้ว่าเขาเกลียดการสัมผัสริมฝีปากที่สุด โม่ซวนหลินจึงเอียงศีรษะไปจูบไหล่ที่แข็งแรงที่กดบนเรือนร่างของตัวเองไว้
เย่เนี่ยนโม่ก้มหน้ามองเธอ ในแววตากลับไม่มีกามารมณ์ แต่ร่างกายกลับมีมีปฏิกิริยาตอบสนอง โม่ซวนหลินยั่วยวนอย่างไม่หยุดหย่อน จนลืมไปแล้วว่ายังมีอีกคนอยู่ในตู้เสื้อผ้า คนคนนั้นถือโทรศัพท์กำลังบันทึกเรื่องราวทั้งหมด บันทึกไว้ก็ดี แบบนี้ตัวเองเธอจะได้มัดเย่เนี่ยนโม่ให้อยู่หมัด
“คุณไปทำอะไรที่เมืองตงเจียง ไม่ได้มาหาผมเหรอ” เย่เนี่ยนโม่ทำเสียงแหบแล้วกล่าวถามต่อ โม่ซวนหลินที่กำลังเคลิบเคลิ้ม เธอปลดกระดุมเสื้อให้กับเย่เนี่ยนโม่อย่างบ้าคลั่ง แล้วกล่าวอย่างออเซาะฉอเลาะ: “ไม่ไม่ได้ค่ะ ฉันไปแป๊บเดียวก็จากมาแล้วค่ะ”
“ทำไมถึงต้องจากไปอย่างรวดเร็ว ผมอยากจะเจอคุณมาก” นิ้วที่เรียวยาวของเย่เนี่ยนโม่ล้วงผ่านช่องว่างของผ้าเช็ดตัวเข้าไปลูบไล้อยู่บนหน้าท้องที่ขาวเนียนของเธอ สุดท้ายไปหยุดอยู่ที่สะดือ
โม่ซวนหลินตกอยู่ในราคะอย่างสมบูรณ์ แต่กลับรู้สึกตัวขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของเย่เนี่ยนโม่ คู่ดวงตาเบิกกว้างแล้วกล่าว : “ ไม่ ฉันไปที่นั่นเพื่อโปรโมตเท่านั้น เมื่อโปรโมตเสร็จจะฉันจากมาทันที”
“เหรอครับ” เย่เนี่ยนโม่ดึงมือกลับ ในใจเริ่มได้ข้อมูลคร่าวๆแล้ว ความผิดปกติของโม่ซวนหลินกลับสามารถเผยข้อมูลเหล่านี้ วันนั้นเธออยู่ในเมืองตงเจียงจริงๆด้วย อีกทั้งยังเกิดเรื่องที่เธอพยายามอยากจะปกปิด
สติโม่ซวนหลินได้กลับมา แล้วมองเย่เนี่ยนโม่ด้วยตัวที่สั่นเทา เขาดึงผ้าเช็ดตัวของเธอออก ราวกับเป็นการเปิดดูงานศิลปะ เธออยากจะหนีบขาทั้งสองของเธอไว้ แต่กลับไร้เรี่ยวแรง
ที่ช่วงขามีรอยขีดข่วน โม่ซวนหลินรีบอธิบายขึ้น “ได้รับบาดเจ็บตอนที่ถ่ายละคร”
เย่เนี่ยนโม่พยักหน้า ลุกตัวตรงแล้วลงจากเตียง โม่ซวนหลินมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา เห็นๆอยู่ว่ามีความต้องการ แต่กลับสามารถสง่างามราวกับกำลังดื่มกาแฟ อาการลนลานในตอนแรกได้หายไปแล้ว สิ่งที่เข้ามาแทนคือความคิดที่จะผูกมัดตัวเย่เนี่ยนโม่
ขอเพียงคลิปตัวเองกับเย่เนี่ยนโม่ถูกเปิดเผย อย่างนั้นเธอก็จะสามารถสร้างกระแส เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ โม่ซวนหลินคลานลงมาจากเตียงแล้วเดินอ้อมมาอยู่ที่ด้านหน้าของเย่เนี่ยนโม่ ลูบไล้ที่หน้าอกของเขา บังคับให้เขาถอยหลังไปทีละก้าวๆ
เย่เนี่ยนโม่อยากจะยกมือเพื่อดึงมือที่คล้องอยู่ที่ลำคอของตัวเองออก แต่ดวงตาเหลือบมองไปที่ประตู เห็นช่องว่างใต้ประตูมีเงาเดินไปเดินมา
มุมปากของเขาเหยียดเป็นเส้นโค้งขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข ไม่ทำการขัดขืนต่ออีก ให้โม่ซวนหลินแนบชิดตัวเองทีละนิดๆ ทั้งคู่ได้ล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม ๆ
ติงยียีฟังเสียงในห้องที่เดิมทีเป็นเสียงสนทนารางๆไม่ชัดเจน เปลี่ยนเป็นเสียงเอี๊ยดอ๊าด จึงตกใจขึ้น ไม่สามารถที่จะใจเย็นต่อไปได้อีก ก็เลยทำการเคาะประตู
“ใคร!” โม่ซวนหลินตกสะดุ้ง เย่เนี่ยนโม่เห็นว่าแสดงพอประมาณแล้ว และก็ไม่อยากให้คนซื่อบื้อที่อยู่หน้าประตูลนลานไปกว่านี้ จึงลุกขึ้นจากตัวของโม่ซวนหลิน แล้วสวมใส่เสื้อผ้าราวกับรอบข้างไม่มีใครอื่นอยู่
เมื่อเปิดประตู ท่าของติงยียียังคงเป็นท่าที่กำลังเคาะประตู เย่เนี่ยนโม่จ้องมองเธอ: “มีเรื่องอะไร”
ติงยียีมองทะลุผ่านช่องว่างเห็นผ้าเช็ดตัวตกอยู่ที่พื้น และผ้าปูที่นอนสีขาวที่พันเรือนร่างของคนไว้ ดวงตาจึงร้อนผ่าว แล้วกล่าวอย่างแข็งกระด้างขึ้น : “ดูเหมือนว่าคุณจะมีความสุขจริงๆ”
เย่เนี่ยนโม่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ติงยียีได้หันหลังจากไปแล้ว เขาส่ายหน้าแล้วก็ตามออกไป ที่ตู้เสื้อผ้าเปิดออกอย่างรวดเร็ว จางถังเดินออกมาด้วยสีหน้าค่อนข้างแย่ เขาไม่เชื่อว่าเย่เนี่ยนโม่จะถามเรื่องราวเหล่านั้นโดยไม่มีวัตถุประสงค์
“คุณเป็นอะไร กลั้นจนอึดอัดเหรอ” โม่ซวนหลินถูกสายตาที่ดุดันทำให้ตกใจ จางถังเงียบไม่พูดไม่จา สาวเท้าก้าวยาวดุจดาวตกออกจากห้องไป “ไอ้บ้า!” โม่ซวนหลินพึมพำ
คนที่โดนชนวันนั้นเป็นใครกันแน่ ทำไมเย่เนี่ยนโม่ถึงได้เข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ จางถังครุ่นคิดไม่หยุด จนชนเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่ง
อันหรันปัดเสื้อตัวเองอย่างใจเย็น ขมวดคิ้วแล้วมองจางถัง จากนั้นถอดเสื้อสูทที่ถูกชนออกมาถือไว้ที่มือ
สวุเหวยเหรินถอนลมหายใจ สมควรตายนัก! “ขอโทษครับ” จางถังเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นดารา และไม่อยากทำให้เรื่องราวใหญ่โต
“ไม่เป็นไรครับ ชนไม่ถูกคุณใช่ไหมครับ” อันหรันยิ้มแล้วกล่าว จางถังตกตะลึง ผู้ชายที่เกิดมามีหน้าตาที่หล่อเหล่าแบบนี้เห็นได้ไม่บ่อยนัก สวุเหวยเหรินเดินมาที่ด้านหน้าของอันหรันอย่างใจเย็น
จางถังรู้สึกตัว รีบพยักหน้าแล้วก็จากไป อันหรันยิ้มอย่างมีความสุข มองทิศทางที่มาของจางถัง น่าแปลก ตรงนั้นมีเพียงห้องเดียวที่อยู่ในส่วนด้านในสุดของโรงแรม และเขาเองเพิ่งไปมาเมื่อสักครู่
“ทำไม ติดใจเหรอ ต้องการให้ผมไปเรียกเขามาไหม” สวุเหวยเหรินกล่าวอย่างราบเรียบ อันหรันหัวเราะคริๆแล้วก็เก็บความคิดของตัวเองขึ้น จากนั้นเอียงหน้าไปจูบที่มุมปากของเขาแล้วกล่าว: “เมื่อสักครู่ก็ช่างทำให้คนติดใจจริงๆ”
“เลว!” สวุเหวยเหรินชกเข้าที่หน้าท้องของเขาอย่างจัง โกรธฟึดฟัดแล้วก็เดินจากไป
ติงยียีกลับไปที่ห้อง จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนเตียง เมื่อสักครู่ตัวเองเป็นห่วงอย่างกับอะไรไม่รู้ แต่เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา เมื่อสักครู่คงมีความสุขมากสินะ
มีเสียงเลี้ยวดังมาจากประตู ติงยียีนอนคว่ำนิ่งๆ เย่เนี่ยนโม่เห็นใบหน้าของเธอที่ซุกเข้าไปในผ้าปูที่นอน เป็นห่วงว่าจะหายใจไม่ออก จึงก้าวเข้ามาเลิกผ้าปูที่นอนออกนิดหน่อย
เขาเลิกผ้าปูที่นอนออกนิดหน่อย ติงยียีก็หลบเข้าไปอีก หนำซ้ำยังดึงขอบข้างๆมาพันตัวเองจนเป็นก้อนกลมๆ
เย่เนี่ยนโม่เห็นแล้วอยากจะหัวเราะ หัวใจกระตุก แล้วก็ถามขึ้นทันใด: “คุณโกรธอะไร”
“ฉันไม่ได้โกรธสักหน่อย ฉันก็แค่รู้สึกว่าไปทำลายความสุขของคุณเท่านั้น ก็เลยรู้สึกผิดต่อคุณ” ติงยียีซุกอยู่ในผ้าปูที่นอนแล้วกล่าวพึมพำ
เย่เนี่ยนโม่อดขำไม่ได้ แต่แกล้งทำท่าสีหน้าบึ้งแล้วกล่าวขึ้น : “ผมไม่เห็นความจริงใจจากคุณ”
เมื่อสิ้นประโยคลง เธอพรวดพราดลุกขึ้นแล้วโค้งคำนับให้กับเขา กล่าวอย่างแข็งกระด้าง : “ ขอโทษคุณเนี่ยนโม่ ที่ไปทำลายความสุขของคุณ ฉันต้องขอโทษ ณ ที่นี้ด้วย”
เย่เนี่ยนโม่ทำหน้าบึ้งตึงต่อไป ติงยียีโกรธสุดๆ เด้งตัวขึ้นเตรียมตัวจะลงจากเตียง แต่ขาที่พันกับผ้าปูที่นอน ทำให้ร่างของเธอล้มกลิ้งอยู่ใต้เตียง
“ระวัง” เย่เนี่ยนโม่รีบยื่นมือไปดึงเธอ ในความลนลานติงยียีจึงคว้าจับอะไรบางอย่างไว้ จากนั้นทั้งคู่ก็ล้มลงสู่พื้นอย่างกระเซอะกระเซิง

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset