สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1459 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1359

“คนเราทำไมต้องเหนื่อยขนาดนั้นด้วย” เธอพึมพำ แต่กลับไม่มีใครตอบเธอ มีเพียงแสงจันทราที่อ้างว้างเดียวดาย
ตีสามแล้ว รถของเย่เนี่ยนโม่เทียบจอดอยู่ที่หน้าประตูโรงพยาบาล ติงยียีคงน่าจะกลับบ้านแล้ว เธอคงไม่รอตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาลหรอก
ในใจบอกตัวเองว่าเจ้าบื้อคนนั้นคงไม่อยู่แล้ว แต่เท้ากลับไม่เชื่อฟังก้าวลงจากรถไป ล็อกประตูรถเสร็จ กำลังจะก้าวขึ้นบันได เขาก็เห็นร่างเล็กๆบอบบางนั่งอยู่ที่ขั้นบันไดของโรงพยาบาล แล้วมองมาทางตัวเอง
“ฉันกลัวว่าคุณจะมองไม่เห็นฉันในวินาทีแรก ดังนั้นฉันก็เลยมารอคุณที่นี่” ติงยียีอยากจะยิ้ม แต่กลับยิ้มไม่ออก จึงทำได้เพียงก้มหน้าอย่างหมดอาลัยตายอยาก
เย่เนี่ยนโม่จู่ๆก็ใจอ่อนปวกเปียก ไม่เกี่ยวกับตัณหาและความรัก หัวใจบริสุทธิ์ดวงนั้นต้องดื้อรั้นเนื่องจากแหลกสลาย
“ไปกันเถอะ ผมจะส่งคุณกลับ” เขากล่าว
“พวกเราเดินกลับกันเถอะ” ติงยียีพูดเสร็จก็กระโดดลงจากบันได แล้วเดินไปเปิดประตูรถ
“ติ๊ดๆ” ประตูรถถูกล็อก เย่เนี่ยนโม่เลิกคิ้วให้กับเธอ
ระยะทางที่ยาวไกล พวกเขาเดินได้ชั่วโมงแรก ยังคงวางเปล่าไร้ผู้คน ชั่วโมงที่สอง พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่เดินผ่านถนนไปบ้าง มีฝูงชนรวมตัวกันบ้าง ท้องฟ้าค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีฟ้า ลมฤดูสาร์ทเย็นคืบคลาน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งติงยียีชะงักเท้าหยุด เธอแหงนหน้าขึ้นมองพระอาทิตย์ขึ้น กำลังขึ้นได้เพียงครึ่งเดียว ครึ่งหนึ่งถูกตึกสูงบดบังไว้ อีกครึ่งหนึ่งความอบอุ่นกำลังมาเยือน
“เขาบอกว่าฉันไม่ได้รักเขาขนาดนั้น” ติงยียีพยายามแหงนหน้ามองตามพระอาทิตย์ เพื่อไม่ให้น้ำตาในดวงตานั้นไหลออกมา และทำลายการแสร้งทำเป็นเข้มแข็งของตัวเอง
“เขาพูดถูก” เย่เนี่ยนโม่ยืนเป็นเพื่อนเธออยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ แต่กลับไม่มองเธอ ให้ท่าเรือที่ปลอดภัยและไม่อึดอัดกับเธอ
ติงยียีหรี่ตาลง มีพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่เดินผ่านไปมาอย่างรีบเร่ง จนชนกระแทกไหล่ของเธอ ไหล่ของเธอเอียงเซ น้ำตาไหลหลั่งลงโดยไม่มีการเตือน “เจ็บจังเลย!” เธอร้องโฮ
พ่อค้าหาบเร่มองเธออย่างงวยงง รีบขอโทษขอโพย ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าแรงในการชนนั้นจะไม่สามารถทำให้ผู้หญิงที่อายุยี่สิบกว่าปีต้องร้องไห้อย่างเจ็บปวดขนาดนี้ก็ตาม
เย่เนี่ยนโม่หันไปยิ้มขอโทษให้กับพ่อค้าหาบเร่ ให้เธอเดินไปก่อน เขายืนกลางถนนเป็นเพื่อนติงยียี เธอก้มหน้าร้องไห้ ส่วนเขาเงยหน้าขึ้นมองพระอาทิตย์ที่ยิ่งขึ้นยิ่งสูง
ชีวิตของคนเรามีอุปสรรคอะไรที่ไม่สามารถจะผ่านไปได้ เมื่อตะวันขึ้น เมื่อน้ำตาไหลเหือดแห้ง ให้รอสายลมมา ความรักที่ไม่สมหวัง ก็คงจะปล่อยวาง
ติงยียีไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งถึงกำหนดส่งโครงการที่ได้ตกลงกับลูกค้าชาวเนเธอร์แลนด์ พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่ครบกำหนดส่งโครงการ ตอนค่ำ ผู้คนนัดกันว่าจะไปสังสรรค์ที่ห้องจัดงานเลี้ยง
เพื่อนร่วมงานหญิงที่มองติงยียีไม่เข้าตายังคงไม่มองเธอไม่เข้าตา และมักจะดึงอ้าวเสว่และคนอื่นๆไปคุยสนทนา เพื่อต้องการจะแบ่งแยกเธอ
ติงยียีก้มหน้าดื่มน้ำผลไม้ เล่นเกมในโทรศัพท์ราวกับเสียงรอบข้างนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเธอ มีข้อความกระชับได้ถูกส่งมา
“เขาเดินทางพรุ่งนี้ สิบเอ็ดโมงตอนเช้า สนามบินผู่ตง”
เธอมองข้อความนี้อย่างเงียบๆ และก็ครุ่นคิด ชูหวินมักจะบอกว่าตัวเองว่าเธอไม่รักเขาอย่างที่คิด อย่างนั้นความรักที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร
อ้าวเสว่ที่ลุกขึ้นไปหยิบผลไม้ได้เหลือบมองเนื้อหาของข้อความ แล้วก็นั่งกลับไปที่โซฟาอย่างเงียบๆ มองจากบางมุม เธอสำเร็จในการกำกับการแสดงนี้ เธอรู้ว่าตอนนี้สิ่งที่เธอควรทำคือการร้องเพลงอย่างมีเบิกบานสำราญใจ หรือไปเย้ยหยันถากถางติงยียี แต่ว่าเธอกลับดีใจไม่ออก
“อ้าว ติงยียีเป็นอะไร ออกมาเที่ยวกับพวกเราไม่สนุกเหรอ” เพื่อนร่วมงานหญิงกล่าวด้วยสงสัย
“หุบปาก” คนที่เอ่ยปากไม่ใช่ติงยียี ไม่ใช่เพื่อนร่วมงานคนไหนทั้งนั้น แต่เป็นคนที่ไม่ถูกกับติงยียีอย่างอ้าวเสว่ เพื่อนร่วมงานหญิงมองเธอด้วยความโกรธ สุดท้ายก็ต้องนั่งลงไปอีกฝั่งหนึ่ง
อ้าวเสว่ดูMVในหน้าจอ ผู้หญิงกับผู้ชายจูบกันท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตัวเธอถึงไม่รู้สึกมีความสุข เพราะว่าเธอเห็นความเจ็บปวดรวดร้าวของตัวเองบนตัวของติงยียี ซึ่งที่เป็นความเจ็บปวดเดียวกัน
ท่าทางของอ้าวเสว่ อ้าวเสว่ช่วยติงยียีแก้ต่าง ทั้งหมดทั้งมวลล้วนตกอยู่ในสายตาของเหยนหมิงเย้า เขายิ้มขึ้น ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรกันที่เขาเริ่มชอบผู้หญิงเลวคนนี้ที่สุดจะบรรยายอย่างอ้าวเสว่ แต่น่าเสียดายที่ผู้หญิงเลวคนนี้มองไม่เห็นตัวเอง เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าเดิมทีที่ยังยิ้มอยู่ได้หงอยเหงาลง
ในตอนค่ำ ติงยียีได้เตรียมน้ำให้คุณพ่ออาบ “พ่อ พ่ออย่าเพิ่งขยับนะคะ หนูจะเข็นพ่อไปอาบน้ำ!” เห็นคุณพ่อที่เข็นรถเข็นด้วยตัวเอง เธอจึงรีบก้าวมาข้างหน้าลนลาน
ติงต้าเฉินกล่าวอย่างมีความสุขว่า: “อยู่บ้านสบายกว่าอีก ใช่แล้ว เรื่องรถที่ก่อเหตุไปถึงไหนแล้ว สืบเจอหรือยัง” หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลแล้วมาพักฟื้นรักษาตัวที่บ้าน สิ่งที่เขาเป็นห่วงมากที่สุดก็คือกาหารถคันที่ก่อเหตุ
“แหวนในครั้งก่อนได้ส่งไปตรวจสอบแล้วค่ะ ผลจะออกมาภายในวันสองวันนี้ พรุ่งนี้หนูจะไปถามนะคะ” ติงยียีได้โกหกแล้ว พักนี้จิตใจของเธอค่อนข้างมึนๆ และก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย
ติงต้าเฉินพยักหน้า พยายามยืนขึ้นด้วยขา แต่ขากลับอ่อนแรงแล้วก็ล้มลงไปนั่งที่รถเข็น
“พ่อ ค่อยเป็นค่อยไปนะคะ” ติงยียีรีบกล่าวขึ้น
ติงต้าเฉินออกจากโรงพยาบาล การดูแลติงต้าเฉินจึงเป็นเรื่องที่ทำให้ติงยียีปวดหัวที่สุด สองสามวันมานี้มีเรื่องมากมาย ทำให้เธอใช้กำลังร่างกายเกินกำลังมาโดยตลอด จึงทำให้นาฬิกาปลุกดังหลายครั้งก็ยังไม่ตื่นสักที
ติงต้าเฉินผู้มาด้วยเสียงนาฬิกาปลุก จึงได้ทำการปิดลง เขามองลูกสาวที่ซูบผอมลงอย่างเอ็นดู ความซาบซึ้งและความรู้สึกผิดในใจมากจนไม่สามารถที่จะมากต่อไปได้อีก เขาถอยออกจากประตูไปอย่างเงียบๆ ต้องการให้ลูกสาวตัวเองได้นอนหลับอย่างสนิท
นอกหน้าต่างฟ้าค่อยๆสว่างขึ้น ทันใดนั้นในห้องมีเสียงร้องบ่นรำพันขึ้น “ตายแล้ว ทำไมวันนี้นาฬิกาปลุกถึงไม่ปลุกเนี่ย!” ติงยียีวิ่งรอบทั่วบ้าน สวมเสื้อผ้า หวีผม กระทืบเท้าอย่างรีบร้อน วันนี้ต้องไปเสนอโครงการ ไปสายไปไม่ได้ อีกอย่างวันนี้เป็นวันเดินทางจากไปของเย่ชูหวินด้วย
“พ่อเห็นว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ นึกว่าลูกไม่ต้องไปทำงาน ดังนั้นจึงช่วยหนูกดปิดนาฬิกาปลุก” ติงต้าเฉินรู้สึกผิดอย่างมาก นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นอยู่หน้าประตูแล้วกล่าว
“พ่อ พ่อปิดนาฬิกาปลุกหนูทำไมคะ” เธอกระวนกระวาย น้ำเสียงพูดจึงได้สูงขึ้น
“ยียีจ้ะ อย่าใจร้อน เดี๋ยวหนูนั่งรถไปนะ” ติงต้าเฉินเข็นรถเข็นอยู่ด้านหลังเธอแล้วกล่าวขึ้น ติงยียีหงุดหงิดมาก ทุกอย่างไม่เป็นดั่งใจจึงปะทุทุกอย่างออกมาในตอนนี้ เดินมาถึงที่ประตูแล้วกล่าวขึ้นกับคุณพ่อว่า: “ พ่อ หนูทราบแล้วค่ะ พ่อรีบกลับไปนอนพักผ่อนเถอะ หนูจะเปลี่ยนเสื้อผ้าปิดประตูแล้วนะ!”
“ปัง” เสียงประตูแบบดั้งเดิมดังเอี๊ยดขึ้นแล้วก็ขั้นโลกระหว่างพวกเขาลง เธอนั่งลงบนเตียงอย่างสับสน นอกประตูบนรถเข็นมีเสียงบ่น “อู้อี้” และเสียงนั้นค่อยๆไกลออกไป
เมื่อถึงห้องรับแขก ติงต้าเฉินที่ซื้อปาท่องโก๋กับโจ๊กไว้แล้ว เดิมทีอยากให้ลูกสาวตื่นขึ้นมาแล้วเซอร์ไพรส์ให้ดีใจ นึกไม่ถึงว่าวันนี้กลับทำพังลง
“ยียีจ้ะ ทานโจ๊กก่อนไหม” เขากล่าวชวนอย่างระมัดระวัง
“ไม่ทานแล้วค่ะพ่อ ร้อนเกินไป หนูไม่ทันแล้ว” ติงยียีหยิบปาท่องโก๋ชิ้นหนึ่งแล้วพลางทานพลางนั่งสวมรองเท้าอยู่หน้าประตู เมื่อสวมเสร็จเงยหน้าขึ้น เห็นคุณพ่อที่นั่งคนเดียวอยู่ข้างๆ แผ่นหลังที่โดดเดี่ยว เธอจมูกเริ่มคัดขึ้นอยากจะร้องไห้
“พ่อ” เธอกล่าวสะอึก ตอนเช้านี้ตัวเองทำอะไรลงไป ใส่อารมณ์กับพ่อ ทำสีหน้าใส่พ่ออีก
“รีบไปเหอะ เรียกรถตอนนี้น่าจะยังทัน” ติงต้าเฉินโบกมือให้กับเธอ ใบหน้าเต็มไปด้วยความลนลาน ติงยียีพยักหน้า รีบเดินมาที่ข้างๆเขา โน้มตัวลงไปกอดเขาแล้วกล่าว: “ขอบคุณสำหรับอาหารเช้านะคะพ่อ”
ติงต้าเฉินตกใจ มองแผ่นหลังที่วิ่งออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว ยกโจ๊กขึ้นมาซดอย่างดีใจ “โอ๊ย! ทำไมร้อนอย่างนี้!”
ในห้องประชุม ติงยียีรอลูกค้าอย่างใจลอย อ้าวเสว่ที่เตรียมตัวจะผลักประตูเข้ามาเหลือบมองเธออย่างลังเลใจ แล้วก็ไม่เข้ามา เลี้ยวไปที่มุมหนึ่งจากนั้นล้วงโทรศัพท์ออกมา
“แม่ เย่ชูหวินจะไปวันนี้แล้ว หนูอยากให้ติงยียีไปส่งเขา แต่หนูไม่รู้ว่าทำแบบนี้ถูกหรือไม่” อ้าวเสว่มองออกไปวิวนอกหน้าต่างที่รถราวิ่งกันขวักไขว่แล้วกล่าว
“เธอโง่หรือไง กว่าจะทำให้สองคนนั่นแยกจากกัน ตอนนี้เธอยังจะให้เธอไปส่งเขา เธออย่าก่อเรื่องให้ฉันมากกว่านี้นะ!” ซือซือรู้สึกผิดหวังที่ลูกไม่ได้ดั่งใจ
เมื่อวางสายโทรศัพท์ลง อ้าวเสว่มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างใจลอย เธอรู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าคุณแม่นั้นไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของตัวเอง และก็รู้ด้วยว่าจะต้องด่าตัวเองอย่างแน่นอน แต่ว่าเธอก็รนหาที่
เมื่อเห็นติงยียีเหม่อลอยนั้น ช่างเหมือนกับตัวเองอีกคนตอนที่อยู่อังกฤษ โดดเดี่ยว อ้างว้าง ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน ความรู้สึกเหมือนถูกโลกนี้ทอดทิ้ง กลัวว่าเมื่อกลับไปประเทศแล้วจะไม่มีใครจำตัวเองได้
“ทำไม กลัวเหรอ” เหยนหมิงเย้ายื่นแก้วกาแฟไปให้เธอ แล้วชี้ไปที่ขอบดำของเธอจากนั้นกล่าว : “ผมคิดว่าตอนนี้คุณเป็นแพนด้าได้แล้ว”
“อะไรนะ” อ้าวเสว่ชะงัก เหยนหมิงเย้าชี้ไปที่ขอบตาของเธอ สองคนสบตากันแล้วหัวเราะ เธอตกใจชะงักขึ้นทันใด ตั้งแต่เมื่อไรที่เธอกับเหยนหมิงเย้าอยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกดีและสบายใจขนาดนั้น
“ครั้งนี้ร่วมมือกันเสร็จก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วมั้ง” อ้าวเสว่พลางพูดพลางยื่นมือออกมาแล้วกล่าว: “ ขอให้มีความสุขกับการร่วมมือ”
“อืม ถ้าหากว่าโครงการสำเร็จ ผมจะไปเนเธอร์แลนด์เพื่อจัดการกับบางอย่าง ก็คงน่าจะอีกประมาณหลายปี” เหยนหมิงเย้ากุมมือของเธอไว้ เพิ่มแรงเบาๆ ทั้งคู่ต่างรู้สึกถึงความเจ็บจี๊ด
“ลูกค้ามาแล้ว” เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งตะโกนขึ้น ทั้งคู่สบตากัน เหยนหมิงเย้ายิ้ม แล้วก็ยื่นมือไปลูบผมของเธอ แล้วหันหลังกล่าวงึมงำ : “อยากทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว”
อ้าวเสว่ยกมือขึ้นไปแตะศีรษะตรงที่ถูกลูบสัมผัส แล้วมองแผ่นหลังของเขาอย่างเลื่อนลอย
“หลักๆของพวกเราจะเน้นความหรูหรา ชีวิตของคนเรามีการแต่งงานเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น นั่นจึงเป็นสิ่งสำคัญและพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ อย่างนั้นทำไมถึงไม่เลือกสิ่งที่ดีที่สุด สถานที่จัดงานแต่งที่ดีที่สุด สถานที่ฮันนีมูนที่ดีที่สุด และสุดท้าย พวกเรายังต้องมีแหวนที่ดีที่สุด” อ้าวเสว่ชี้ไปที่รูปแหวนในพาวเวอร์พ้อย จากนั้นหันมามองเหล่าลูกค้าทั้งหลาย
สักพัก ชาวเนเธอร์แลนด์หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นด้วยภาษาอังกฤษ : “พวกเราเห็นด้วยกับความคิดของคุณ การแต่งงานเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ว่าพวกเราไม่เห็นด้วยกับการออกแบบของคุณ”
ติงยียีที่นั่งอยู่ในมุมห้องหยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างเงียบๆ เหลือเวลาอีกสองชั่วโมงเย่ชูหวินก็จะเดินทางแล้ว ทำไมเขาต้องเดินทางกะทันหันเช่นนี้ ต่อให้เป็นเพื่อนกัน ทำไมจะจากไปก็ไม่บอกกับตัวเองสักคำ หรือว่ากลัวตัวเองนั้นจะไปตามตื๊อตอแย
“ไม่ ดิฉันคิดว่าการออกแบบของดิฉันนั้นได้เน้นองค์ประกอบทั้งหมดที่คุณต้องการแล้ว” อ้าวเสว่ได้สติคืนเมื่อเธอรู้ตัวว่าเธอพูดด้วยน้ำเสียงที่โมโห บรรยากาศในที่ประชุมจึงกร่อยลง
“อ้าวเสว่ ผมคิดว่าค่อยสื่อสารกันใหม่อีกครั้งจะดีกว่า” เหยนหมิงเย้าที่นั่งอยู่ข้างๆขัดจังหวะเธอในเวลาที่เหมาะสม ความสามารถในการทนต่อความกดดันของเธอน้อยเกินไป เมื่อคนอื่นคัดค้านเธอ เธอก็จะใช้น้ำเสียงสูงและคำพูดที่รุนแรงในการแก้ต่าง ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรเลย หรือว่าเธอนั้นไม่เห็นสีหน้าของลูกค้าชาวเนเธอร์แลนด์นั้นเขียวปัดไปหมดแล้ว

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset