สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1460 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1360

เมื่อได้ยินเขาแนะนำเช่นนี้อ้าวเสว่ถึงได้รู้สึกตัว แล้วรีบยิ้มจากนั้นกล่าวขึ้น: “ ขออภัยค่ะ เมื่อสักครู่ดิฉันตื่นเต้นไปหน่อย ดิฉันคิดว่าพวกเราสามารถปรึกษาหารือกันอีกครั้งเพื่อดูว่าต้องปรับปรุงอะไรตรงไหนอีก”
ชาวเนเธอร์แลนด์พึมพำครู่หนึ่งและหันไปส่ายหัวให้กับเหยนหมิงเย้า ชาวเนเธอร์แลนด์หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้น: “ ขออภัย ดิฉันไม่คิดว่าพวกเราจะยอมรับข้อเสนอการออกแบบของบริษัทคุณ เราจะลองพิจารณาบริษัทอื่น”
ชาวเนเธอร์แลนด์สองสามคนลุกขึ้นมุ่งเดินออกไป อ้าวเสว่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าที่ขาวซีด เหยนหมิงเย้าส่งสายตาปลอบใจให้กับเธอ แล้วก็เดินตามชาวเนเธอร์แลนด์ออกไป
ที่ประชุมเงียบกริบ เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งก้าวเดินมาข้างหน้าอย่างระแวง: “อ้าวเสว่ พวกเราจะทำอย่างไรกันดี”
“ไม่ต้องมากวนใจฉัน ออกไป!” อ้าวเสว่ระเบิดขึ้น ยื่นมือไปตบเคาะโปรเจ็กเตอร์ที่หน้าโต๊ะ แล้วจากไปด้วยความโกรธ
ทุกคนในที่เกิดคนต่างตกใจ ติงยียีมองเธอเดินออกไป จึงก้มหน้ามองโทรศัพท์ ใจกระตุกวูบ หยิบโทรศัพท์แล้ววิ่งไปที่สำนักงาน
“ติงยียีเธอจะไปไหน!!”
“แท็กซี่ แท็กซี่!” ด้านนอกบริษัทหลินซื่อ ติงยียีก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างรีบร้อน พลางเดินพลางเรียกรถ วันนี้แท็กซี่เหมือนกับเป็นศัตรูกับเธออย่างนั้น ถ้าไม่มีคนก็จะต้องถูกลูกค้าอื่นแย่งไป
ไม่ไกลมีแท็กซี่คันหนึ่งวิ่งผ่านมา เธอเห็นคนข้างหน้าก็อยากจะเรียก จึงกัดฟันแล้วถอดรองเท้าส้นสูงมาถือไว้ จากนั้นเดินลงถนนรถแล้ววิ่งเข้าไปหาแท็กซี่
รถยนต์ไฟฟ้าคันหนึ่งวิ่งออกมาจากมุมถนนอย่างรวดเร็ว เธอหลบไม่ทัน รถได้วิ่งผ่านแฉลบข้างของเธอไป จนเธอเซล้มไปกองอยู่กับพื้น
คนผ่านไปผ่านมามองแล้ววิพากษ์วิจารณ์ มีบางคนยังหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูป โดยที่ไม่มีใครเข้าไปพยุงติงยียี มีวัยรุ่นคนหนึ่งงึมงำเบาๆ : “ใครจะไปรู้ว่าใช่พวกนักต้มตุ๋นหรือเปล่า”
มีรถวิ่งผ่านตัวเธออย่างเฉียดฉิวเรื่อยๆ เธอจึงลุกขึ้นนั่งข้างถนน เวียนศีรษะเล็กน้อย เธอพยายามส่ายหน้า เห็นมีคนขึ้นแท็กซี่คันที่เธอจะเรียกคันนั้น
“เอี๊ยด!” รถตู้พี่เลี้ยงคันหนึ่งได้มาจอดอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มหัวเกรียนคนหนึ่งที่มีหน้าตาหล่อเหลาลงจากรถ สวุเหวยเหรินเห็นมีคนนอนอยู่ข้างถนน มีผู้คนผ่านไปผ่านมามากมายแต่กลับไม่มีใครเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้นสักคน จึงโมโหมาก และตัดสินใจไปช่วยเหลือทันที
“อยากจะเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงาม” อันหรันที่อยู่ข้างๆกล่าวติดตลก
“รีบไปช่วยคน!” สวุเหวยเหรินถลึงตาใส่เขา อันหรันชี้ที่หน้าของตัวเองแล้วกล่าว: “ได้ แลกเปลี่ยนเวลากัน”
“อันหรัน!” ทุกๆครั้งที่สวุเหวยเหรินเรียกชื่อเขาเต็มๆนั้น ก็แปลว่าเขานั้นโมโหสุดขีดแล้ว อันหรันรีบเบ้ปาก “ผมไม่ชอบที่คุณแตะต้องตัวผู้หญิง ไม่ใช่สิ ผมไม่ชอบคุณไปสัมผัสสิ่งมีชีวิตอื่นที่นอกเหนือจากผม”
สวุเหวยเหรินชะงัก รถได้จอดเทียบข้างทาง เขาจึงลงจากรถ ภาพอยากจะช่วยเหลือคนในตอนแรกได้ปรากฏขึ้น
สวุเหวยเหรินอุ้มติงยียีขึ้นรถ เห็นใบหน้าที่ขาวซีดของเธอ จึงรีบพูดกับคนขับรถว่า : “ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด”
“ไม่ ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ไม่ทันแล้ว ฉันต้องไปแล้ว” ติงยียีจับแขนเสื้อของเขาแล้วพูดอย่างยากลำบาก ร่างกายของเธอไม่เป็นไร แต่ว่าใจเธอนั้นเจ็บปวดมาก
อันหรันคิ้วขมวดขึ้น มือที่เรียวยาวคว้าแขนของติงยียีแล้วดึงออก สวุเหวยเหรินถลึงตาใส่เขา อันหรันโน้มเข้าไปใกล้แล้วกระซิบขึ้น “ผมจำผู้หญิงคนนี้ได้ คือผู้หญิงคนที่อยู่ในงานพรมแดงก่อนหน้านี้ไง”
สวุเหวยเหรินมองอย่างละเอียด ใช่จริงๆด้วย ในเมื่อเป็นคนที่รู้จัก อย่างนั้นก็ยิ่งต้องช่วยเหลือ คนขับรถสตาร์ทรถ ติงยียีก็ขัดขืนขึ้นทันใด “ไม่! ไม่ทันแล้ว!”
“ทันสิ ระยะทางห้านาทีก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว” คนขับรถรีบกล่าว
“ฉันต้องการไปสนามบิน” เธอส่ายหน้า สติเริ่มกลับมา แล้วมองสวุเหวยเหรินอย่างกระวนกระวาย แม้แต่อันหรันที่นั่งอยู่ข้างๆยังไม่ทันได้สังเกตเห็น
อันหรันรู้สึกน่าสนุก เจอกันในครั้งก่อนใบหน้าเธอยังคลั่งไคล้ตัวเขา เจอกันครั้งนี้กลับเห็นเขาเหมือนอากาศ
“ไปสนามบิน” อันหรันกล่าวขึ้นทันใด ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆคนขับรถกล่าวอย่างลำบากใจ “แต่ว่าวันนี้มีฉากถ่าย···”
“ถ่ายอะไรกัน ช่วยคนสำคัญกว่า!” อันหรันกล่าวอย่างกล้าหาญดุจอินทรีย์ สวุเหวยเหรินปรายตาไปมองเขา “หรือว่าเพราะไม่อยากจะถ่ายฉากจูบ”
“คุณอย่ามาสงสัยความเป็นมืออาชีพของผม” อันหรันไม่ได้รู้สึกอายที่ถูกรู้ทัน แต่กลับตวาดดังดุจฟ้าผ่าขึ้น: “ สวุเหวยเหรินคุณจะอุ้มเธอไปถึงเมื่อไร! ! !”
ติงยียีรู้สึกเหมือนตัวเองจะยิ่งเจ็บปวด
หน้าบ้านตระกูลติง เย่ชูหวินมองดูตึกเก่าที่ทรุดโทรม “หึหึ” อยู่ๆเขาก็หัวเราะขึ้น นึกถึงติงยียีให้ที่เขี่ยบุหรี่เขาหนึ่งอันที่นี่ เขาชอบมาก เสียดายที่จะใช้ จึงวางไว้ที่ข้างเตียง ปรากฏว่ามีวันหนึ่งคุณแม่มาเห็นเข้ากลับทำแตกอย่างไม่ตั้งใจ
เขาไปซื้ออันใหม่มา แต่กลับพบว่าไม่มีความรู้สึกที่มองมันแล้วทำให้คิดถึงติงยียี หรือบางทีความรักก็คือแบบนี้ ต่อให้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูเหมือนกันทุกประการ แต่ว่าเนื้อแท้ไม่ใช่ อย่างไรก็ไม่มีความหมาย
เวลานี้โทรศัพท์ได้ดังขึ้น น้ำเสียงของไห่ฉิงฉิงค่อนข้างลนลาน
“ชูหวินถึงเวลาจะเช็กอินแล้วนะ ลูกอยู่ที่ไหน”
“ผมจะถึงในไม่ช้าครับ” เย่ชูหวินวางสายโทรศัพท์ลง หันหลังแล้วจากไป “โฮ่งๆ!” เสียงสุนัขเห่าดังมาจากรั้วเหล็กในบ้าน เขาหันไปมอง สุนัขพันธุ์ทิเบตันตัวใหญ่อยู่บนตัวเขา
แพนด้าแลบลิ้นออกมาพยายามเลียเขา กดทับอยู่บนตัวของเขาไม่ยอมลุกขึ้น ทิเบตันเดิมทีเป็นพันธุ์สุนัขที่ดีที่สุด บวกกับแพนด้าเป็นสุนัขที่ดีที่สุดในพันธุ์ที่ดีที่สุด มันที่เป็นวัยผู้ใหญ่องอาจกล้าหาญ ขนที่ยาวสีดำมันวาว ดวงตาเฉียบแหลม และเขี้ยวที่น่ากลัว
“แพนด้า!” เย่ชูหวินยิ้มอย่างจริงใจออกมา
แพนด้าเลียพอประมาณแล้ว ยังคงไม่อยากลุกขึ้น นั่งยองๆแลบลิ้นอยู่ข้างๆและจ้องมองเขา เย่ชูหวินนั่งยองลงครึ่งตัวแล้วลูบขนของมันพลางกล่าวขึ้น: “จำไว้ว่าจะต้องปกป้องเจ้านายแกให้ดี อย่าให้คนเลวมาแกล้งเธอได้ แม้แต่เย่เนี่ยนโม่ก็ไม่ได้เข้าใจไหม”
แพนด้าเอียงหัวมองเขา ก็ไม่รู้ว่าเข้าใจที่พูดหรือเปล่า เขาไม่สนใจแล้วก็กล่าวต่อ : “ที่จริงเจ้านายของแกนั้นดุมาก แต่ว่าเธอก็มีเวลาที่ทุกข์ใจเหมือนกัน ยามที่เธอทุกข์เธอไม่ต้องคุยกับใคร ชอบอยู่ในมุมเพียงลำพังและเลียแผลของตัวเอง ดังนั้นรบกวนแกอยู่ข้างๆ อย่าได้ทิ้งเธอไปไหนนะ”
ทั้งคนทั้งสุนัขนั่งอยู่ข้างทาง คนนั้นพูดพล่ามมากมาย ส่วนสุนัขนั้นเห่าใส่สุนัขตัวอื่นๆที่เดินผ่านเพ่นพ่านเป็นระยะๆ เห็นอีกฝ่ายวิ่งหางจุกตูด ถึงได้นั่งลงอีกครั้ง
เย่ชูหวินเห็นว่าถึงเวลาแล้ว จึงลูบหัวของแพนด้าแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นหันหลัง กางเกงของเขาถูกดึงจับ เข้าก้มหน้ามองดูแพนด้าที่กัดกางเกงของเขาเบาๆแล้วจ้องมองเขา
แวบเดียว ความไม่อยากจะจากไปได้เข้ามาปรกคลุมเขา เขาก้าวเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวอย่างใจแข็ง หันหลังแล้วโบกมือให้กับสุนัขที่เฝ้ามองตัวเองตลอดเวลา จากนั้นก็สาวก้าวเดินดุจดาวตกแล้วก็จากไป
ด้านนอกสนามบิน คนขับรถได้จอดเทียบอย่างสนิท ติงยียีที่เตรียมตัวกระโดดลงรถ อันหรัน เห็นแล้วจึงห้ามเธอไว้: “เฮ้ย กระโดดลงแบบนี้ไม่ตายหรอก”
ติงยียีตกใจชะงัก จ้องมองเขา อันหรันราชาแห่งสวรรค์ผู้เป็นสุภาพบุรุษเหมือนพี่ชายข้างบ้านไม่ใช่หรือ ทำไมเมื่อสักครู่ถึงได้ปากคอเราะราย
สวุเหวยเหรินอดหัวเราะไว้ อันหรันกระแอมเบาๆแล้วกล่าว : “เหอะๆ เมื่อสักครู่ผมนั้นกำลังซ้อมบทละครที่ต้องถ่ายในอีกสักครู่ ผมแสดงเป็นพ่อที่ดุร้ายของหวังเอ่อโก่วในหมู่บ้านข้างๆ
ใบหน้าของสวุเหวยเหรินกับคนขับรถต่างบิดเบี้ยวด้วยความมึนงง อันหรันราชาแห่งสวรรค์แสดงเป็นพ่อที่ดุร้ายของหวังเอ่อโก่วในหมู่บ้านข้างๆ! กองถ่ายไหนกล้าเชื้อเชิญให้เล่น
ติงยียีรีบพยักหน้ากล่าว: “แสดงได้ดีมาก” ประตูรถเปิดขึ้น เธอกระโดดลงไป แล้ววิ่งเข้าไปในสนามบิน
อันหรันชะงัก มองแผ่นหลังที่ลับหายไปอย่างลึกซึ้ง ดวงตาถูกมือที่อุ่นๆปิดขึ้น ด้านหลังมีเสียงที่เย็นชาของสวุเหวยเหรินดังขึ้น: “คุณจะดูอีกนานแค่ไหน”
ดึงมือที่ปิดดวงตาไว้มาที่มุมปาก อันหรันจูบลงเบาๆ นัยน์ตายั่วยวนจนทุกคนต้องสยบได้ยักหลิ่วขึ้น ทำให้คนที่อยู่รถไม่อาจจะละสายตาไปจากได้
ในห้องโถง เซี่ยชีหรั่นกุมมือของไห่ฉิงฉิงไว้ไม่ปล่อย แล้วกล่าวสะอึกขึ้น: “ที่สหรัฐอเมริกาฉันได้วานให้เพื่อนที่ชื่อหยูหลันกับหยุนโชว์คอยดูแลพวกคุณ พวกคุณมีเรื่องอะไรสามารถหาพวกเขาช่วยเหลือได้เลย”
เย่เชินหลินกับโม่เสี่ยวจุนที่อยู่ข้างๆต่างยืนมองภรรยาของตัวเองที่ล่ำลาน้ำตาคลอ เย่เชินหลินมองโม่เสี่ยวจุนแล้วพูดเพียงหนึ่งประโยค: “มีอะไรให้โทรหาผม”
“อืม” โม่เสี่ยวจุนพยักหน้า ไม่มีอะไรอย่างอื่น ระหว่างผู้ชายความสัมพันธ์เพื่อนก็เป็นแบบนี้ สั้นๆได้ใจความ แต่ว่าความเป็นห่วงที่ล้นเหลือได้กลายเป็นรอยยิ้มอยู่ภายในดวงตาของทั้งสองฝ่ายที่ซึ่งต่างเข้าใจกัน
“มีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะถามคุณ” โม่เสี่ยวจุนมองหลินหลิงแล้วกล่าว “โจ๋ซวนเด็กคนนั้นตอนที่ทำการตรวจเช็คหัวใจไม่มีปัญหาจริงๆใช่ไหม”
ถ้าหากว่าเป็นคนอื่นพูดประโยคนี้หลินหลิงจะต้องคิดว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังสาปแช่ง แต่ว่าเป็นเพราะคลุกคลีกับโม่เสี่ยวจุนเป็นเวลานาน จึงกู้รู้ว่านิสัยใจคอของอีกฝ่ายว่าเป็นคนตรงๆ จึงไม่ได้ถือสา แล้วกล่าวขึ้น : “ไม่มีนะ ฉันยังได้เปิดใบตรวจเช็คร่างกายของเขาดูเลย”
ไห่ฉิงฉิงพยักหน้าอยู่ข้างๆ ปล่อยเซี่ยชีหรั่นแล้วจับหลินหลิงขึ้น จากนั้นกล่าว: “พี่ของฉันจากไปก่อนวัยอันควร ลำบากพี่สะใภ้แล้วนะ ฉันจากไปครั้งนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบกันอีก”
“ดูพูดเข้าสิ ตอนนี้การเดินทางสะดวกสบายขนาดนั้น โรคของเธอจะต้องรักษาหายอย่างแน่นอน! สหรัฐอเมริกามีงานวิจัยมากมายเกี่ยวกับการรักษาโรคหัวใจ!” ดวงตาของหลินหลิงเองก็แดงขึ้น
ไห่ฉิงฉิงพยักหน้า เย่ชูหวินไม่ให้เธอบอกกับทุกคนว่าตัวเองก็เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ดังนั้นทุกคนจึงคิดว่าคนที่ป่วยนั้นมีเพียงไห่ฉิงฉิงคนเดียวเท่านั้น
“ไปหาเธอหรือยัง” เย่เนี่ยนโม่ถามเบาๆ เย่ชูหวินส่ายหน้า แล้วพูดกับเขาอย่างตั้งใจ: “ดูแลเธอให้ดีๆ”
“ผมต้องทำอย่างแน่นอน” เย่เนี่ยนโม่รับปาก ทันใดนั้นเสียงเตือนก็ดังขึ้น โม่เสี่ยวจุนกับไห่ฉิงฉิงได้โบกมือให้กับทุกคน แล้วมุ่งเดินไปทางเข้า ทันใดนั้นเย่เนี่ยนโม่คว้าเย่ชูหวินไว้แล้วกล่าว: “รออีกสักหน่อยไหม!”
เย่ชูหวินแกะมือของเขาออกแล้วส่ายหน้า จากนั้นเหลือบไปมองประตูทางเข้าแวบหนึ่ง ที่ประตูปรากฏเงาร่างเล็กๆที่ความเร็วรวดเร็วมาก ดูเหมือนเธอชนกับคนเข้า และกำลังทำการขอโทษขอโพย
เขามองแผ่นหลังของเธอที่กำลังวิ่งไปในทิศทางตรงกันข้าม จึงส่ายหน้าแล้วยิ้ม หันหลังแล้วเดินจากไปดุจดาวตก เครื่องบินส่งเสียงดังเมื่อทำการเทคออฟ ติงยียียืนอยู่ในผนังกระจกมองดูเครื่องบินที่ค่อยๆวิ่งอยู่บนรันเวย์ กางปีกออกเหมือนนกอินทรี จากใกล้ๆไปสู่ไกลๆ ไกลจนไม่สามารถที่จะไขว่คว้าได้
เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง เธอไม่ได้หันกลับไปมอง ผนังกระจกที่วาวใสได้สะท้อนเงาเย่เนี่ยนโม่ที่ยืนมองเธออยู่ด้านหลัง
“อยากร้องไห้ไหม” เย่เนี่ยนโม่กล่าวถามขึ้น เธอหันหน้ามาแล้วยิ้มอย่างสดใสดั่งดอกไม้บานยามคิมหันตฤดู “ไม่ ไม่อยากเลยสักนิด”

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset