สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1461 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1361

เย่เนี่ยนโม่พยักหน้าราวกับมองไม่เห็นน้ำตาของเธอที่กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ เงยหน้าขึ้นมองเครื่องบินที่เหลือเพียงแสงไฟกะพริบรำไร แล้วกล่าวเบาๆ : “อย่างนั้นก็ดี”
ห้องสำนักงานที่กว้างใหญ่ เวลานี้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะใบหน้ากำลังข่มอารมณ์โกรธไว้ หลินเจี๋ยกล่าวกับเหยนหมิงเย้าเบาๆ :“คุณเหยนครับ ขณะนี้เป็นเวลาการประชุมใหญ่ของพนักงานบริษัทหลินซื่อของพวกเรา ขอเชิญคุณกลับไปก่อนนะครับ”
เหยนหมิงเย้าพยักหน้า ลุกขึ้นเดินออกไปยังประตู ประตูกระจกโปร่งแสงดั่งเนื้อหยกสะท้อนใบหน้าที่รางเลือนของอ้าวเส่ว่เหมาะเจาะพอดี เขาถอนหายใจเบาๆ เปิดประตูแล้วก็จากไป
“หัวหน้าแผนกทะเลาะกับลูกค้าในที่ประชุม สุดยอดจริงๆ!” ทันทีที่เหยนหมิงเย้าจากไป หลินเจี๋ยก็หันปลายหอกไปหาอ้าวเสว่ทันที
อ้าวเสว่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา อีกฝ่ายคือคนที่ท่านสวุแนะนำเข้ามา หลินเจี๋ยก็ไม่อยากจะดุด่าแรงเกินไป จึงหันหน้าไปมองทางยียีแล้วกล่าว :“แล้วก็คุณ เวลาทำงานกลับหายหัวไป! ช่างดีงามจริงๆ”
ติงยียีรีบลุกขึ้นกล่าวขอโทษ :“ขอโทษค่ะท่านประธาน” หลินเจี๋ยส่ายหน้า นี่ก็ลูกชายของชีหรั่นแนะนำมา ยิ่งด่าแรงไม่ได้
หลินเจี๋ยกระแอมกระไอเสียงระงับความโกรธลง จากนั้นกล่าวอย่างเคร่งขรึม :“ทางฝ่ายนั้นได้ไปติดต่อกับบริษัทอื่นแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นการได้มาด้วยการเสนอราคา ผมต้องการให้พวกคุณแย่งลูกค้าครั้งนี้มาให้ได้ บริษัทวางแผนจะเปิดตลาดเครื่องประดับที่เนเธอร์แลนด์โดยผ่านตัวอย่างลูกค้าเหล่านี้”
“ค่ะ!” เสียงดังฟังชัดในห้องสำนักงานได้บรรเทาอารมณ์โกรธของเขาให้ผ่อนคลายลง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว: “นอกจากอ้าวเสว่เป็นผู้รับผิดชอบในครั้งนี้แล้ว ขอเพิ่มอีกหนึ่งคน”
เพื่อนร่วมงานข้างๆต่างสบตากัน อ้าวเสว่เงยหน้าขึ้นทันใด เพิ่มอีกหนึ่งคน ก็แปลว่าไม่เชื่อในความสามารถของเธอใช่ไหม คำพูดของเขาเหมือนเป็นการตบเข้ามาที่ใบหน้าของตัวเอง
หลินเจี๋ยหันไปมองติงยียี :“ผมเคยดูการออกแบบของคุณ คุณเป็นคนมีพรสวรรค์จริงๆ ครั้งนี้คุณรับผิดชอบเรื่องนี้ร่วมกันกับอ้าวเสว่ จะต้องเอาลูกค้าให้อยู่หมัดนะ”
ติงยียีรับรู้ถึงสายตาของอ้าวเสว่ที่ทอดมองมาเต็มไปด้วยความโกรธและเชิงดูถูก เธอเองก็รู้สึกเหลือเชื่อเช่นกัน จึงกล่าวด้วยความไม่แน่ใจ :“ท่านประธาน ความหมายของท่านคือ”
“ใช่ เหมือนอย่างที่คุณคิดนั่นแหละ” หลินเจี๋ยนั้นไม่ได้ใช้อารมณ์จัดการกับปัญหา เขาเห็นพรสวรรค์ในการออกแบบของอ้าวเสว่นั้นเหนือกว่าติงยียี แต่จุดอ่อนคือวิสัยทัศน์แคบเกินไป มักจะจำกัดไว้เพียงด้านเดียวและทำแบบผิวเผิน ส่วนติงยียีถึงแม้ว่าการออกแบบจะไม่ค่อยดี แต่ว่าเธอกล้าคิด นี่คือพื้นฐานของการออกแบบ ถ้าสองคนนี้ร่วมมือกันผลลัพธ์น่าจะออกมาดี
เหตุผลที่บอกว่าชีวิตคนเราก็เหมือนละคร ละครก็เหมือนชีวิตคน ก็คือการที่คุณไม่รู้ว่าวินาทีถัดไปนั้นจะเกิดอะไรขึ้น แค่เพียงช่วงเวลาว่างของการประชุม ติงยียีได้ก้าวจากผู้ช่วยเสิร์ฟน้ำเสิร์ฟชามากลายเป็นแกนนำของทีม
“น่าโมโหจริงๆ! น่าเจ็บใจจริงๆ” อ้าวเสว่เตะเข้ากำแพงบนชั้นดาดฟ้าอย่างไม่ยั้ง ใช้แรงมากเกินไปอย่างไม่ระมัดระวัง ทำให้เธอเจ็บจนเกือบจะร้องไห้ออกมา
เหยนหมิงเย้าเดินมาที่ด้านหน้าของเธอ คุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วยกขาของเธอขึ้น อ้าวเสว่อยากขยับหนี แต่ข้อเท้ากลับถูกจับไว้แน่น
เขาถอดรองเท้าส้นสูงของเธอออก แล้วนวดนิ้วเท้าที่บวมแดงเบาๆ “คุณทำอะไรของคุณ!” อ้าวเสว่ยื่นมือไปเขกขมับเขาอย่างไม่เกรงใจ แล้วก้าวเท้าเปล่าทีละก้าวไปที่กำแพงอย่างยากลำบาก อยากจะนั่งลง แต่เมื่อเห็นเก้าอี้ที่เลอะสกปรกก็ล้มเลิกความคิดลง
แล้วเหยนหมิงเย้าก็นั่งลงที่เก้าอี้ อ้าวเสว่กล่าวขึ้น :“คุณ ลุกขึ้นหน่อย!”
“ทำไม” เหยนหมิงเย้ามองเธอด้วยความมึนงง “รีบลุกขึ้นสิ!” อ้าวเสว่หงุดหงิด
เขาก็เลยลุกขึ้น อ้าวเสว่จ้องที่ว่างที่เขาลุกขึ้น แล้วก็นั่งลงตรงที่เขานั่งลงเมื่อสัครู่ จากนั้นกล่าวอย่างพอใจ :“ขอบคุณที่ช่วยเช็ดเก้าอี้ให้”
เธอที่มัวแต่ดีใจ ไม่ทันได้สังเกตเห็นรอยยิ้มที่เปล่งประกายเต็มในแววตาของเหยนหมิงเย้า เมื่อนึกถึงติงยียี อ้าวเสว่ก็โมโหโทโสขึ้นอีก
“สิ่งที่คุณแตกต่างจากเธอคือมีผมคอยให้ความช่วยเหลือ อย่าลืมสิว่าผมคือคนวางแผนของพวกเขาฝั่งนั้นนะ” เหยนหมิงเย้ารู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร จึงกล่าวอย่างมั่นใจ
“คุณจะช่วยฉันเหรอ” อ้าวเสว่ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ความคิดก็พลันเปลี่ยน ถ้าหากมีเหยนหมิงเย้าคอยช่วยเหลือ ก็เท่ากับตัวเองมีหมากในการกรองข้อมูล อีกฝั่งทำอะไรตัวเองก็ได้รับรู้ข้อมูลเป็นลำดับแรก แต่ว่าอีกฝ่ายทำไมต้องช่วยเหลือตัวเองด้วย เขาต้องการอะไร
“คุณอยากได้อะไรจากตัวฉัน หรือบอกเงื่อนไขของการร่วมมือมาว่าคืออะไร” อ้าวเสว่มองไปทางเขา เธอไม่เชื่อเด็ดขาดว่าจะมีคนคอยให้ความช่วยเหลือคนคนหนึ่งโดยที่ไม่หวังผลตอบแทน
“อย่าคิดว่าผมจะเป็นเหมือนคุณสิ” เหยนหมิงเย้าโกรธจนกัดฟันแทบแหลก เขาคิดอยู่แล้วว่าเธอจะต้องคิดแบบนี้! เธอจะเชื่อมั่นในตัวเขาสักครั้งไม่ได้เลยหรือไร!
“ไม่อยากได้ก็ยิ่งดี จะได้ไม่เปลือง!” อ้าวเสว่หลบสายตาเขา ในแววตาของเขานั้นมีหลายๆอย่างที่เธอมองไม่เข้าใจ และเธอก็ไม่อยากจะมองด้วย
ตอนกลางคืน เย่เนี่ยนโม่ถือโทรศัพท์ไว้ หมายเลขบนโทรศัพท์เขานั้นท่องจนจำขึ้นใจ แต่น้อยมากที่จะโทรออกไป ตอนนี้เธอต้องการเวลาในการทำใจ เขาไม่อยากจะกดดันมากเกินไป
ฉับพลันโทรศัพท์ดังขึ้นกะทันหัน เขาตกใจจนเกือบจะโยนโทรศัพท์ทิ้ง รับสายแล้วกล่าวขึ้น :“ครับลุงBaker”
“ไอ้หนู มาที่สำนักงานตำรวจหน่อย” Bakerทำงานวุ่นมาทั้งวัน น้ำเสียงจึงค่อนข้างอิดโรย
“ติงยียีต้องไปด้วยไหมครับ” เย่เนี่ยนโม่ลุกยืนขึ้น หยิบกุญแจรถแล้วมุ่งเดินออกไปด้านนอก
“อำนาจการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่ผม อยู่ที่นาย นายอยากให้เธอมานายก็ชวน” น้ำเสียงของBakerมีรอยยิ้มซ่อนอยู่ มองดูความรักความเกลียดชังของกลุ่มวัยรุ่นนี้ อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจยอมรับว่าตัวเองไม่แก่ไม่ได้!
เย่เนี่ยนโม่วางสายโทรศัพท์ลง และก็ไม่ลังเลที่จะกดหมายเลขโทรศัพท์ที่ตัวเองอยากจะกดมาตลอดทั้งคืน ในสำนักงานตำรวจ Bakerเทกาแฟสุดท้ายจนหมดเกลี้ยงที่เหลือนิดหน่อยในเครื่องชงกาแฟ แล้วกล่าวอย่างหงุดหงิด: “มีความสนใจอยากจะเป็นสปอนเซอร์เมล็ดกาแฟชุดใหม่ให้กับสำนักงานตำรวจไหม”
“ได้สิครับ ว่าแต่บริษัทของพวกเราจะได้รับประโยชน์อะไรฮะ” เย่เนี่ยนโม่เริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจังกับคำถามของเขา Bakermอึ้ง“จิ้งจอกน้อย”
“ขออนุญาตถามว่าผลเป็นอย่างไรบ้างคะ” ติงยียีเห็นสองคนที่นานสองนานแล้วก็ยังไม่คุยเข้าประเด็น จึงรีบถามขึ้น
“เห็นท่าแล้วน่าจะเป็นคนใจร้อน” Bakerมองเย่เนี่ยนโม่อย่างลึกซึ้ง
“ดังนั้นถึงได้เป็นคนซื่อๆไร้เดียงสา” เย่เนี่ยนโม่ปวดศีรษะ
“พยายามเข้าไว้” เลนส์ตาBakerกะพริบปริบๆ
ติงยียีมองไปยังสองคน โดยงุนงงว่าทั้งคู่นั้นกำลังคุยเรื่องอะไรกัน Bakerกระแอมเสียงในลำคอ แล้วหยิบแหวนจากถุงแก้วใส จากนั้นกล่าวขึ้น: “คราบเลือดในนี้ไม่ใช่เป็นของดาราemily”
หรือว่าจะเป็น เย่เนี่ยนโม่กับติงยียีต่างหันไปมองเขา Bakerพยักหน้าแล้วหันมามองเธอ “ใช่ เป็นของพ่อเธอ”
“อย่างนั้นก็รีบไปจับเธอสิ ฉันไม่สนว่าเธอจะเป็นดาราหรือว่าเป็นใคร ทำผิดแล้วก็ควรจะได้รับผลการกระทำ!” ติงยียีตะโกนกล่าวขึ้น
Bakerส่ายหน้า เธอยอมรับไม่ได้ จึงกล่าวด้วยความโมโห: “หรือเป็นเพราะว่าเธอเป็นดาราพวกคุณก็เลยไม่จับเธออย่างนั้นเหรอ!”
“ยียี” เย่เนี่ยนโม่ปลอบประโลมเธอ ติงยียีตระหนักได้ว่าตัวเองใจร้อนเกินไป จึงสงบสติลงแล้วกล่าวด้วยความรู้สึกผิด: “ขอโทษค่ะ หนูใจร้อนเกินไป หนูรู้ว่าท่านไม่ใช่เป็นคนแบบนี้”
Bakerจับปากกามาเล่นอย่างไม่ถือสา จากนั้นกล่าว: “ไม่เป็นไรครับ ผมเป็นตำรวจมานานหลายปี ชินแล้วกับเป็นที่ระบายให้กับประชาชน”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ติงยียีก็ยิ่งรู้สึกผิด เย่เนี่ยนโม่มองเขาอย่างด้วยสีหน้านิ่ง แววตาแฝงด้วยความไม่พอใจ
Bakerอึ้ง แล้วถึงค่อยหยุดล้อเล่น จากนั้นกล่าว: “จากข้อมูลที่ทางตำรวจได้รับ emilyขับรถไม่เป็น ซึ่งก็หมายความว่าวันนั้นจะต้องมีคนอื่นอยู่ด้วยอย่างแน่นอน ขอเพียงสืบรู้ว่าเป็นใคร อย่างนั้นปัญหาก็จะคลี่คลายลง”
เมื่อออกมาจากสำนักงานตำรวจ เย่เนี่ยนโม่ได้กล่าวขึ้น :“ให้ผมส่งคุณกลับนะ”
ติงยียีส่ายหน้า “วันนี้อ้าวเสว่อารมณ์ไม่ค่อยดี โครงการล้มเหลว คุณไปอยู่เป็นเพื่อนเธอเถอะ”
“ครับ” เย่เนี่ยนโม่ตอบรับทันใด สั้นๆชัดเจน เธอจึงมองเขาด้วยความมึนงง
รถได้ขับผ่านหน้าเธอไป เธอมองใบหน้าข้างๆของเขาแล้วตะลึงเบาๆ ตัวเองเป็นคนเสนอออกมาแท้ๆ แล้วทำไมจู่ๆหัวใจก็ว่างเปล่า
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอก็ใส่รองเท้าเข้าไปในบ้าน หลังจากที่ติงต้าเฉินเตือน เธอก็รับรู้แล้วรีบไปเปลี่ยนรองเท้าทันที “ยียีหนูเป็นอะไร เหม่อลอยเชียว”
ติงต้าเฉินที่กำลังลูบขนแพนด้าอยู่ เห็นท่าทางของเธอแล้วจึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ติงยียีรีบยกยิ้มขึ้น จากนั้นสวมผ้ากันเปื้อนเข้าไปตระเตรียมอาหารในห้องครัว
บนโต๊ะอาหาร ติงต้าเฉินเคาะจานอาหารแล้วกล่าว:“ลูกจ๋า ปลาทอดไข่ของหนูนี้จะทานได้ไหม”
“หนูก็ไม่รู้ค่ะ หนูคิดว่าอย่าทานเลยดีกว่านะคะ” ติงยียีรีบเก็บจานไปวางข้างๆ จากนั้นใช้ตะเกียบคีบผัดผักให้กับติงต้าเฉิน ติงต้าเฉินทานเข้าไปหนึ่งคำ แล้วคิ้วขมวดขึ้น จากนั้นก็คายลงใส่จานข้างๆ
เธอจึงทานเข้าไปหนึ่งคำ สองพ่อลูกสบตากัน จากนั้นก็ลุกขึ้นไปหยิบน้ำดื่มอย่างเข้าใจกันโดยปริยาย ติงต้าเฉินอดต่อไปไม่ไหวจึงได้เอ่ยปาก :“ยียีจ้ะ ตอนเด็กๆเวลาลูกมีอะไรไม่สบายใจลูกก็จะเล่าให้พ่อฟัง ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่ได้เรื่อง ไม่สามารถช่วยอะไรหนูได้ แต่ว่าพ่อก็สามารถเป็นที่รับฟังให้หนูได้นะ”
ติงยียีชะงัก กล่าวขึ้น :“หนูไม่เป็นอะไรจริงๆค่ะ” เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนี้ ติงต้าเฉินก็ได้แต่ทอดถอนใจ แล้วก็ได้แต่เก็บความเป็นห่วงยัดกลับเข้าไปในท้อง
ในคืนปลายฤดูใบไม้ร่วง เสียงลมพัดใบไม้ดังหวีดหวิว ติงยียียืนอยู่ที่ระเบียงขยับเสื้อคลุมบนตัวให้กระชับแน่นขึ้น ในหัวสมองกลับคิดวกวนแต่ว่าตอนนี้เย่เนี่ยนโม่กำลังอยู่กับอ้าวเสว่ใช่หรือไม่ และพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่
ฉับพลันนั้นตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังคิดถึงเขา ติงยียีจึงพยายามหยุดความคิดนั้น แล้วเดินเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ทันได้สังเกตว่าการกระทำและการเคลื่อนไหวของตัวเองทั้งหมดนั้นตกอยู่ภายใต้สายตาคู่หนึ่งที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรัก
เย่เนี่ยนโม่มองเธอหายลับไปจากระเบียง จากนั้นไฟที่ห้องชั้นสองก็ดับมืดสนิทลง เขาจึงถอนหายใจเบาๆ แล้วก็ขับรถจากไป
วันรุ่งขึ้น ติงยียีเข้าไปที่ห้องสำนักงานอย่างรีบเร่ง ได้ทำการทักทายกับพนักงานที่กำลังทำความสะอาด “อรุณสวัสดิ์ค่ะ น้าหวาง”
หวางเหม่ยผิงหันหน้าไปหาเธอแล้วพยักหน้ายิ้มให้ เธอรับผิดชอบงานทำความสะอาดของตึกนี้ ยามปกติก็จะมีแต่ตีงยียีเท่านั้นที่คอยทักทายกับพนักงานทำความสะอาดอย่างเธอ เมื่อเห็นติงยียีกำลังจะเข้าไปในห้องสำนักงาน เธอจึงได้เรียกหยุดเธอ
“หนูยียี น้าหวางอาจะพูดเยอะไปนะ แต่ว่าหัวหน้าแผนกของหนูนั้นออกไปแล้ว บอกว่าจะไปรั้งลูกค้าอะไรสักอย่าง น้าหวางกลัวว่าหนูจะเสียเปรียบน่ะ” หวางเหม่ยผิงกล่าว ติงยียีกับอ้าวเสว่รับผิดชอบโครงการลูกค้าชาวเนเธอร์แลนด์ด้วยกันนั้นได้แพร่กระจายไปยังแผนกวางแผนและแผนกการออกแบบแล้ว
ติงยียีกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ จากนั้นก็กลับไปฟุบอยู่ที่โต๊ะ ในหัวสมองของเธอไม่มีความคิดอะไรทั้งนั้น เธอเข้าร่วมกลางทาง อีกอย่างตอนนี้ลูกค้าชาวเนเธอร์แลนด์ก็โมโหขนาดนั้น ทำอย่างไรถึงจะมีโอกาสพบเจอกับอีกฝ่ายได้ ทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจกลับมาร่วมมือกับบริษัทอีกครั้ง

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset