สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1464 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1364

“เธอรู้ไหม ฉันเพื่อเขาแล้วถึงกับต้องแกล้งโง่แกล้งบ้า!” อ้าวเสว่เคาะขวดเบียร์ให้ดังแกร๊งยิ่งขึ้น
“แกล้งโง่แกล้งบ้า หมายความว่าอย่างไร” ติงยียีกล่าวถาม
“ก็คือฉันจงใจบอกว่าฉัน···อื้อๆ!” เหยนหมิงเย้าเอามืออุดปากของเธอไว้ แล้วลากเธอลงจากเก้าอี้นั่งทรงสูง จากนั้นกล่าวกับติงยียีว่า: “ดูเหมือนเธอจะเมาแล้ว ผมส่งเธอกลับบ้านก่อน คุณกลับคนเดียวได้ไหม”
ติงยียีพยักหน้า เธอไม่ได้สนิทกับเหยนหมิงเย้า แม้แต่คำพูดยังเคยพูดเพียงไม่กี่คำ ย่อมไม่ให้เขาส่งตัวเองอย่างแน่นอน
เหยนหมิงเย้าประคองอ้าวเสว่ออกจากบาร์ พอดีเข้ากับบาร์เริ่มเปิดเพลงแดนซ์ดิสโก้มันดุเดือด แสงไฟหลากสีสันสาดส่องวูบวาบเหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาวที่สํามะเลเทเมา
“ติงยียี” ทันใดนั้นเขาได้หันหลังมา ติงยียีเดินตามหลังของเขา เมื่อได้ยินเขาเรียกตัวเอง จึงถอยสองสามก้าวแล้วจ้องมองเขา
“ถ้าหากเป็นไปได้ อย่าไปแย่งเย่เนี่ยนโม่เลย ถึงแม้ใครๆจะดูออกว่าเขาขอบคุณก็ตาม” เหยนหมิงเย้ากล่าวเบาๆ
“มันชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ” เสียงติงยียีค่อยๆลดต่ำลง คำตอบเริ่มค่อยๆชัดเจน เธอซ่อนเก็บไว้ในก้นบึ้งของหัวใจมาโดยตลอด แต่เย่ชูหวินกลับพูดถึง ประธานหลินก็พูดถึง ตอนนี้แม้แต่เหยนหมิงเย้าที่พบเจอกับตัวเองเพียงไม่กี่ครั้งก็พูดถึงอีก
เหยนหมิงเย้ารู้ว่าเธอมีคำตอบในใจแล้ว พาอ้าวเสว่ที่เมาแล้วซบลงมาที่ตัวของตัวเองแล้วประคองเดินออกไป ไม่ใช่ของตัวเอง สุดท้ายก็ไม่ใช่อยู่ดี ต่อให้คุณพยายามยื้อสุดชีวิต ใช้กาวที่เหนียวหนืดที่สุดเพื่อรักษาให้ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่เมื่อวันหนึ่งภาพลวงตาถูกฉีกออก รังแต่จะยิ่งทวีคูณความเจ็บมากขึ้นเท่านั้น
คำพูดของเหยนหมิงเย้าทำให้ติงยียีรู้สึกเครียด เมื่อลงมาจากรถบัสสาธารณะ เธอก็เดินอยู่บนถนนอย่างเงียบๆ มีเสียงรถวิ่งดังมาจากด้านหลัง ติงยียีจึงขยับไปข้างๆ แสงส่องสว่างจ้าที่อยู่ด้านหลัง เธอจึงได้หรี่ตาลง และอยากจะขยับหลบไปข้างๆ
“ระวัง!” มีแรงมาผลักเธอออกไป เธอจึงเซถอยหลังไปสองสามก้าว ตื่นตกใจขึ้นเมื่อเห็นคนที่เข้ามาผลักตัวเองแล้วหลบไม่ทันคือเย่เนี่ยนโม่
“ม่ายยย!” ติงยียีกรีดร้องแล้วปิดตาลง ทนดูไม่ได้กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้คนกลัวก็ไม่ได้เกิดขึ้น รถได้ขับแฉลบผ่านร่างของเย่เนี่ยนโม่ไปอย่างเฉียดฉิว จากนั้นก็ขับออกไปอย่างรวดเร็ว
“เนี่ยนโม่!” ตังยียีรู้สึกเหมือนสมองตัวเองว่างเปล่าไปหมด เธอวิ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่งแล้วทรุดลงนั่งข้างๆเขา แววตาสำรวจดูรอบๆด้วยความหวาดกลัว แขน คอ ศีรษะ ขอเพียงส่วนที่สามารถมองเห็นได้ เธอก็จะไม่ปล่อยผ่านไป
“ผมไม่เป็นไร!” เย่เนี่ยนโม่ปลอบประโลมเธอ ตัวเขาเองก็อกสั่นขวัญแขวนเย่ป๋อบอกกับเขาว่าติงยียีอยู่ที่บาร์ เขาเป็นห่วงว่าเธอจะตกอยู่ในอันตรายไหม จะมีคนมาจีบเธอไหม ดื่มเหล้าเมาแล้วจะหลงทางไหม ความเป็นห่วงทั้งหมดทำให้เขามาที่นี่โดยควบคุมตัวเองไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าแค่เพียงอีกนิดเดียว ถ้ารถคันนั้นชนติงยียีเข้าจริงๆ เขาก็คงเป็นบ้าเหมือนกัน
ติงยียีราวกับเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเขา ยังคงดื้อรั้นเช็คดูร่างกายของเขาตามทุกอณูที่สามารถเช็คดูได้ “ยียี” เขาเรียกเธออย่างอ่อนโยน มือของเธอสั่นเบาๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างงวยงง และน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว
จนกระทั่งถูรวบดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่นที่ทำให้รู้สึกปลอดภัย ติงยียีถึงได้รู้สึกตัว ร่างกายอดไม่ได้ที่จะสั่นเทาขึ้น แขนทั้งสองข้างของเย่เนี่ยนโม่กอดรัดแน่น แต่กลับไม่สามารถทำให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดนี้หยุดสั่นได้
“ผมไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” เขาพูดซ้ำๆย้ำอยู่อย่างนั้น เพียงเพื่อต้องการปลอบประโลมเธอ ทันใดนั้นติงยียีถอนตัวออกจากอ้อมกอดของเขา แล้วเขย่งปลายเท้าโน้มตัวไปหาเขา
จนกระทั่งความอบอุ่นกับความอบอุ่นสัมผัสกันและกัน เย่เนี่ยนโม่ลืมตาโตมองใบหน้าที่ใกล้แค่คืบ ติงยียีอยากจะถอยหลัง แต่กลับถูกแขนรัดไว้แน่น วินาทีต่อไป ความอบอุ่นก็ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ไม่มีใครรู้ว่าเริ่มต้นได้อย่างไร ทั้งหมดล้วนมาจากความต้องการตั้งแต่แรก แสงไฟที่สลัว เพราะความกลัวขีดสุด จึงทำให้โหยหาความอบอุ่นอย่างสุดชีวิต
ความเย็นยามฤดูใบไม้ร่วงทำให้ติงยียีตื่นจากฝัน แล้วนั่งลงอย่างสลัว ตัวหนอนไหมตกลงมา เธอหันหน้ามาด้วยความตกใจ จนสบตาเข้ากับดวงตาอันอบอุ่นของเย่เนี่ยนโม่
จนกระทั่งริมฝีปากเกิดการสัมผัสกับความนุ่มนวล ทันใดนั้นเธอถึงได้รู้สึกตัว ภาพฉากเมื่อคืนราวกับฟิล์มภาพยนตร์ ที่กำลังถูกกรอให้เล่นวนซ้ำ ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ และความกลัวขีดสุดทำให้เธอทำในสิ่งที่ไม่เคยกล้าทำ
“อรุณสวัสดิ์” เย่เนี่ยนโม่จ้องมองเธอที่เปี่ยมล้นไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยน ติงยียีขยี้ดวงตา ขยี้อีกครั้ง จนกระทั่งเย่เนี่ยนโม่ลุกขึ้น แสงตะวันสาดส่องมาที่ผิวสีแทนของเขาพอดี เขาเข้าไปในห้องอาบน้ำ สักพักมีเสียงน้ำไหลดังขึ้น
“รบกวนยื่นผ้าขนหนูให้ผมหน่อย ตาของผมเต็มไปด้วยฟองสบู่เลย” ในห้องอาบน้ำมีเสียงดังแว่วขึ้น ติงยียีจึงเลิกใจลอย โดดลงจากเตียงโดยมีผ้าปูที่นอนพันตัวไว้ จากนั้นหยิบผ้าขนหนูที่อยู่ในตู้ออกมานำไปยื่นให้กับเขา
เมื่อหันหลัง คราบสีแดงบนผ้าปูที่นอนแยงเข้ามาในดวงตาเธอ ประตูไม้ที่อยู่ด้านหลังถูกดึงออก ร่างที่เต็มไปด้วยคราบหยดน้ำยืนอยู่ด้านข้างเธอ
“เสียใจไหม” เย่เนี่ยนโม่กล่าวถาม เธอเอียงศีรษะครุ่นคิด แล้วส่ายหน้า จากนั้นกล่าว:“ ชูหวินบอกตลอดว่าฉันไม่ได้รักเขามากพอ ตอนนั้นฉันรู้สึกน้อยใจมาก แต่ฉับพลันฉันก็เข้าใจ ความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขาเป็นเพียงแค่ความต้องการพึ่งพา อาจจะมีความชื่นชมและก็ความชอบเท่านั้น”
“แล้วความรู้สึกที่มีต่อผมล่ะ” เย่เนี่ยนโม่โน้มตัวไปมองเธอ รอเธอเรียงคำพูดอย่างใจจดใจจ่อ เธอส่ายหน้า หัวใจเย่เนี่ยนโม่จมดิ่งลง
“ฉันไม่รู้ แต่ว่าหัวใจของฉันตอนนี้เต้นเร็วมาก ฉันอยากจะหนีไปให้พ้น แต่เท้าของฉันกลับไม่สามารถขยับได้” รอยยิ้มบนริมฝีปากของติงยียีอยู่ยิ่งกว้าง กว้างจนเธอเองก็ไม่ทันได้สังเกตเห็น
“เจ้าบื้อ!” เย่เนี่ยนโม่หัวใจตุ้มๆต่อมๆติดใจในรสชาติ แววตาฉับพลันตกกระทบไปที่เรือนร่างของติงยียี ติงยียีก้มหน้า แล้วก็เห็นบางอย่างม่วงๆคล้ำๆ ก็รีบกระโดดขึ้นเตียงทันที จากนั้นใช้ผ้าปูที่นอนพันตัวเองไว้อย่างแน่นหนา โผล่มาให้เห็นส่วนปลายศีรษะเพียงนิดเดียว
เมื่อฝ่ามือสัมผัสกับเส้นผมทำให้คันสยิวนิดๆ น้ำเสียงสดชื่นระคนรอยยิ้ม :“ติงยียี ผมชอบคุณ” จนกระทั่งเวลาผ่านไปนาน ติงยียียังจำได้ในเช้าวันหนึ่งฤดูใบไม้ร่วง ประโยครักนั้นได้กระแทกเข้ามาในหัวใจ ประโยคที่บอกว่าชอบ ทำให้หัวปักหัวปำจนโงไม่ขึ้นอย่างสิ้นเชิง
เมื่อออกมาจากห้อง ติงยียีก้มหน้าก้มตามองซ้ายมองขวา ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี เย่เนี่ยนโม่เผลอยิ้ม เดินมาที่ข้างๆเธอแล้วจับผสานมือกับเธอเป็นสิบนิ้ว จนกระทั่งทั้งคู่เดินออกมาจากโรงแรมแล้ว ใบหน้าของติงยียียังคงแดงก่ำเล็กน้อย
“ผมส่งคุณกลับนะ” เย่เนี่ยนโม่จับติ่งหูของเธอ ติงยียีหลบถอยไปด้านหลัง แล้วกล่าวด้วยความตกใจ: “ฉันไม่ชิน รู้สึกแปลกๆ”
“อย่างนั้นก็ค่อยๆทำความคุ้นชินไปกับความรู้สึกการมีความรักแบบนี้ก็แล้วกัน!” เย่เนี่ยนโม่ยิ้มแล้วกล่าว แสงอาทิตย์สาดส่องเข้าที่ร่างของพวกเขาสองคนทำให้รู้สึกอบอุ่น ติงยียีรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากจนจะตายอยู่แล้ว
“กริ๊งๆ” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เย่เนี่ยนโม่หยิบโทรศัพท์ออกมาดูแล้วขมวดคิ้วขึ้น กดปุ่มวางสายลงแล้วใส่เข้าไปในกระเป๋า
ยิงยียีหน้าซีดขึ้นทันใด เธอลืมไปได้อย่างไร เธอลืมไปได้อย่างไรว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้มีแฟนอยู่แล้ว เธอเป็นมือที่สาม!
“ยียี” เย่เนี่ยนโม่เห็นอารมณ์เธอผิดปกติ จึงอยากยื่นมือไปโอบเธอ เธอรีบหลบอย่างรวดเร็ว มองเขาด้วยแววตาที่สิ้นหวัง “ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันไม่อยากจะเป็นมือที่สาม”
“ยียี!” เย่เนี่ยนโม่รีบดึงเธอไว้ ติงยียีทำการหลบ สายตาจากรอบข้างมองมาครั้งคราวทำให้เธอรู้สึกกลัว เธอก้มหน้าแล้วมุ่งเดินออกไปที่ถนนนอกโรงแรม
“ผมเคยชอบอ้าวเสว่ แต่ว่านั่นมันก็เป็นอดีตไปแล้ว ผมเริ่มมีความรู้สึกดีกับคุณตั้งแต่เรียนปีสี่ จนกระทั่งตอนนี้ความรู้สึกก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง!” เย่เนี่ยนโม่ตะโกนอยู่ด้านหลังเธอ
ติงยียีหยุดชะงักเท้าขึ้น น้ำตาเธอได้ไหลนองเต็มหน้า สติบอกกับเธอว่าไม่ควรหันกลับไป แต่ร่างกายนั้นกลับไปไม่เชื่อฟัง
“อย่างนั้นคุณทำไมถึงยังคบกับเธอต่อ” เธอยืนอยู่ด้านหน้าเขา อยากจะฟังคำตอบสุดท้ายด้วยหัวใจที่ยังมีหวัง
“เพราะ···ขอโทษที่ผมบอกเหตุผลไม่ได้” เย่เนี่ยนโม่เกลียดตัวเองในยามนี้มาก แต่ว่าเขาได้รับปากลุงสวีแล้ว จะเป็นคนที่เสียสัตย์ไม่ได้!
“คุณไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นแล้ว ฉันผิดเอง ที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้” ติงยียีหันหลังด้วยความผิดหวัง แล้ววิ่งไปข้างหน้า
“คุณชาย!” เย่ป๋อจอดรถเทียบข้างเย่เนี่ยนโม่ แล้วกล่าวด้วยความสงสัย “เห็นๆอยู่ว่าคุณชายท่านแคร์คุณผู้หญิงคนนั้นมาก ทำไมถึงไม่ตามไปล่ะครับ”
เย่เนี่ยนโม่ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วส่ายหน้า เขามองแผ่นหลังที่กำลังจะลับจางหายไปที่มุมถนน จากนั้นก็หันหลังจากไปอย่างหดหู่ ณ สโมสรออนเซ็นที่หรูหรา อ้าวเสว่กล่าวอย่างไม่พอใจ :“วันนี้เธอเป็นอะไรของเธอ นี่เป็นรอบสุดท้ายแล้ว อย่าทำให้ฉันเสียแผนเด็ดขาด”
“อืม” ติงยียีพยักหน้า แล้วบังคับระงับการตำหนิตัวเอง หญิงชาวต่างชาติย่างก้าวเดินเข้ามา แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยน เมื่อเห็นทั้งคู่ก็กล่าวอย่างดีใจ: “เพื่อนๆชาวจีนคะ ต้องขอบคุณพวกคุณจริงๆ เมื่อวานฉันได้เปิดอกคุยกับเขาแล้ว เขารับปากว่าต่อไปจะไม่มีเรื่องปิดบังฉันอีก”
ติงยียีและอ้าวเสว่สบตากันแล้วยิ้ม กล่าว:“ความจริงพวกเรามีเรื่องที่ไม่สมควรจะรบกวน” สิบห้านาทีผ่านไป หญิงชาวต่างชาติส่ายหน้าอย่างเสียใจแล้วกล่าว: “ฉันสามารถช่วยพวกคุณพูดได้ แต่ว่าเฟ่ยหลออาจจะไม่ฟังฉัน เขาเป็นคนที่หัวรั้นมาก”
อะไรนะ! ลำบากตั้งหลายวัน แลกมากับคำตอบที่ไม่แน่ใจ ทั้งคู่รู้สึกค่อนข้างโง หญิงชาวต่างชาติก็รู้สึกผิด บอกว่าจะพยายามช่วยพวกเธอพูดอย่างเต็มที่
หลังจากที่หญิงชาวต่างชาติจากไปแล้ว ทั้งคู่ก็นั่งลงบนพื้นด้วยความหงุดหงิด โทรศัพท์ติงยียีดังขึ้น เธอมองสายที่โทรเข้ามา ลังเลครู่หนึ่งว่าจะรับหรือไม่รับดี
“ไม่รับก็กดทิ้งไปซะ เสียงดังน่ารำคาญ” อ้าวเสว่กล่าวด้วยความเหลืออด ติงยียีรีบกดรับสายขึ้น น้ำเสียงเย่เนี่ยนโม่เคร่งขรึม “เจ้าของรถที่ชนคุณลุงได้มอบตัวแล้ว”
ในสำนักงานตำรวจ Bakerกล่าวกับติงยียีที่มาด้วยความเร็ว “วันนี้เจ้าของรถคันก่อเหตุได้มามอบตัว คำให้การของเขาค่อนข้างตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น แม้แต่กิ๊บติดผมของemily เขาก็พูดให้การออกมา ตอนนี้สามารถสรุปได้ว่าเขาคือเจ้าของรถคันก่อเหตุ”
“ฉันสามารถพบเขาหน่อยได้ไหม” ติงยียีกล่าวถาม Bakerพยักหน้า พาเธอไปที่ห้องเล็กๆห้องหนึ่ง ในห้องมีผู้ชายที่หน้าตาอัปลักษณ์ หนำซ้ำยังดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ
“คุณคือคนที่ชนคุณพ่อของฉันเหรอ” ติงยียีถามกล่าว ชายหนุ่มพยักหน้า: “ผมต้องขอโทษด้วยที่ผมชนแล้วหนีไป ดังนั้นผมเต็มใจมากที่จะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล หวังเพียงขอให้คุณจะอภัยให้ผม”
เย่เนี่ยนโม่มองผู้ชายคนนี้ด้วยความสงสัย คำให้การของเขาไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ และยังทำให้รู้สึกซาบซึ้งใจด้วยซ้ำ แต่ทว่าคำพูดที่ไหลลื่นเกินไป ราวกับเป็นการท่องจำไว้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว
“แล้วEmilyล่ะ เธอก็รับสารภาพแล้วเหรอ” เย่เนี่ยนโม่กล่าว Bakerจึงเข้าใจความหมายของเขาทันทีแล้วกล่าวขึ้น: “นายหมายถึง?”

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset