สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1465 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1365

เย่เนี่ยนโม่พยักหน้า Bakerครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นให้เพื่อนร่วมงานไปตามEmilyมา ครึ่งชั่วโมงผ่านไป Emilyที่ถูกประกันตัวได้มาถึง เมื่อเห็นชายหนุ่มก็ร้องไห้วิ่งโผเข้าไปตบตีอีกฝ่าย: “ฉันบอกคุณแล้วว่าให้ส่งเขาไปโรงพยาบาล ทำไมคุณถึงไม่ไปส่ง!”
เย่เนี่ยนโม่สบตากับBaker เห็นทีแล้วเรื่องราวคงจะกระจ่างแล้ว เมื่อออกมาจากประตูใหญ่สำนักงานตำรวจ ติงยียีรู้สึกโล่งใจ เรื่องของคุณพ่อในที่สุดก็คลี่คลายลง ถือว่าได้เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับครอบครัวของเธอแล้ว
“เมื่อสักครู่ที่อยู่สำนักงานตำรวจทำไมคุณถึงไม่มีความสุข” เย่เนี่ยนโม่หันหน้าไปถามเธอ น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำทำให้ติงยียีนึกถึงฉากที่อับอายของเมื่อคืน
เพื่อหลบหนีความทรงจำจากเมื่อคืน เธอจึงเล่าในสิ่งเธอทำร่วมกับอ้าวเสว่ในสองสามวันที่ผ่านมาอย่างคร่าวๆ เย่เนี่ยนโม่ลูบศีรษะของเธอ “อยากจะร่วมมือกับพวกเขาจริงเหรอ”
ติงยียีพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ผมจะช่วยคุณให้บรรลุเป้าหมายให้ได้” เย่เนี่ยนโม่จ้องมองเธอ ให้คำมั่นสัญญาอย่างจริงจัง
เวลาเพียงชั่วคืน สำหรับบางคนอาจเป็นแค่เพียงความฝัน สำหรับบางคนอาจสามารถเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้เลย
“ผมตัดสินใจที่จะร่วมงานกับพวกคุณอีกครั้ง คู่หมั้นของผมก็เชื่อมั่นในตัวพวกคุณมาก นี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้าย” เฟ่ยหลอจับมือลากับติงยียี อ้าวเสว่ แล้วก็จากไป
ในโรงจอดรถ เฟ่ยหลอเล่นกับกุญแจรถที่อยู่ในมือ แล้วกล่าวกับคู่สายโทรศัพท์ว่า :“ประธานเย่ครับ ผมรับปากที่จะร่วมมือกับบริษัทเย่ซื่ออีกครั้งแล้ว อย่างนั้นเมื่อห้างสรรพสินค้านานาชาติของบริษัทคุณสร้างเสร็จ ที่บอกว่าจะให้สิทธิ์สินค้าของผมใช้บริการฟรี คุณอย่าลืมนะครับ”
“วางใจเถอะ” เสียงสุขุมเยือกเย็นจากโทรศัพท์ ที่ฟังไม่ออกถึงอารมณ์ ในห้องสำนักงานยังมีเพื่อนร่วมงานจำนวนไม่น้อยกำลังนั่งซุบซิบคุยกัน
“พวกคุณรู้ไหมว่าทำไมเฟ่ยหลอจู่ๆถึงตอบตกลง” เหยนหมิงเย้ากล่าวอย่างมีนัย อ้าวเสว่กับติงยียีส่ายหน้า
“มีคนได้ช่วยพวกคุณอยู่เบื้องหลัง แต่เป็นใครนั้นพวกคุณก็น่าจะเดาออก” สายตาของเหยนหมิงเย้าทอดมองมาที่ติงยียี จนเธอเริ่มระแวง
จะต้องเป็นเย่เนี่ยนโม่แน่ๆ ช่วงนี้เขางานยุ่งมาก ไม่ได้มาหาฉันเลย!” อ้าวเสว่หยิบโทรศัพท์แล้วเดินออกจากห้องสำนักงานไป ติงยียีมองแผ่นหลังของเธอแล้วแอบตัดสินใจว่า ไม่ได้ พวกเขาต่างหากที่เป็นคู่กัน ตัวเองจะเข้าไปแทรกระหว่างกลางไม่ได้
ที่โรงพยาบาล ติงยียีพาคุณพ่อไปตรวจเช็คร่างกาย ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุติงต้าเฉินก็รู้สึกว่าขาของตัวเองนั้นไม่ค่อยมีความรู้สึก
“อาการของคุณค่อนข้างรุนแรง ขาด้านซ้ายจะสูญเสียความสามารถการเดินตามปกติ” คุณหมอมองสองคนอย่างจริงจัง
“คุณหมอหมายความถึงขาผมจะพิการเหรอครับ” ติงต้าเฉินถามด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เมื่อได้รับคำตอบที่ชัดเจนก็ยกกำปั้นทุบเข้าที่ขาของตัวเองอย่างแรงทันที
“พ่อคะ! อย่าทำแบบนี้!” ติงยียีรีบจับมือของเขาไว้ แล้วกล่าวปลอบประโลม: “พ่อ ใจเย็นๆนะ หนูเลี้ยงพ่อได้สบายเลยค่ะ”
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ติงต้าเฉินทานข้าวเสร็จก็ขังตัวเองไว้ในห้อง ติงยียีถอนหายใจ ยกเก้าอี้มาตัวหนึ่งแล้วนั่งใจลอยอยู่หน้าห้อง
โทรศัพท์ดังขึ้น ตัวอักษรเย่เนี่ยนโม่กะพริบ เธอจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์จากสว่างจนกระทั่งดับลงอย่างเหม่อลอย ปลายนิ้วชี้ปัดไปที่ปุ่มลบทิ้ง กำลังจะทำการลบ ก็มีเสียงดังลอยขึ้นจากในห้อง
เธอตกใจจนใช้กุญแจสำรองเปิดเข้าไประตู ติงต้าเฉินล้มอยู่หน้าประตูห้องอาบน้ำ “พ่อ!” ติงยียีรีบพยุงเขาขึ้นมา ติงต้าเฉินหันมายิ้มให้กับเธอ: “พ่อไม่เป็นไร พ่อแค่ต้องการจะไปห้องอาบน้ำเท่านั้น”
“หนูช่วยพ่อนะ” ติงยียีกลั้นน้ำตาประคองคุณพ่อเข้าไปห้องอาบน้ำ ยุ่งอยู่สักพัก จนคุณพ่อนอนหลับไป เธอถึงได้มาที่ห้องรับแขก
รอยยิ้มของคุณแม่ในห้องรับแขกยังคงหยุดอยู่ในช่วงวัยสาวเสมอ “แม่คะหนูจะช่วยพ่อได้อย่างไรคะ”
เสียงข้อความของโทรศัพท์ดังขึ้น ส่องสว่างห้องรับแขกที่สลัว “พักผ่อนเยอะๆ พรุ่งนี้ฝนจะตกอย่าลืมพกร่มด้วย”
ข้อความไม่กี่คำ แต่สื่อความอบอุ่นเหลือล้น
ติงยียีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกดปุ่มโทรออก เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จากนั้นเธอกล่าวเบาๆ:“อย่าเพิ่งพูด ฟังฉันพูดให้จบ อย่ามาหาฉันอีก คืนนั้นฉันไม่ถือสา ให้มันเป็นแค่ความฝัน”
“ความฝันเหรอ” เย่เนี่ยนโม่ที่อยู่ไกลแต่รู้สึกความอันตราย
“ใช่ แค่ความฝัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่” ติงยียีกล่าวเสียงต่ำ เสียงตู๊ดๆดังขึ้นจากโทรศัพท์ อีกฝ่ายได้วางสายลงแล้ว
ทุกอย่างจบลงแล้วเหรอ เธอมองรูปขาวดำของแม่ที่มองมาทางตัวเองด้วยความรัก เธอที่กลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว “แม่คะ ทำไมหนูถึงได้เจ็บเพียงนี้”
โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง เธอที่กำลังลนลานหยิบขึ้นมารับโดยไม่รู้ตัว “ออกมา พึ่บ” โทรศัพท์ถูกวางสาย
ติงยียีออกประตูด้วยความลังเล ในตรอกซอยเล็กๆ เย่เนี่ยนโม่ใส่สูทลำลองทั้งตัว ที่เห็นได้ชัดว่าได้รออยู่ด้านนอกตั้งนานแล้ว บนตัวยังมีความเย็นยะเยือกของฤดูใบไม้ร่วง
“เจ้าบื้อ ไม่แคร์แล้วจะร้องไห้ทำไม” เย่เนี่ยนโม่ช่วยเช็ดน้ำตาที่เธอเช็ดไม่ทันอย่างอ่อนโยน
ติงยียีปัดมือของเขาออกแล้วตวาดขึ้น :“ฉันชอบคุณแล้วยังไง ฉันเห็นแก่ตัวมาก อยากครอบครองคุณไว้เพียงคนเดียว แล้วคุณจะปล่อยอ้าวเสว่ไหม!”
เธอใช้แรงทุบเขาอย่างสุดกำลัง เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆ ปล่อยให้ได้ระบายออกมา จนกระทั่งเธอหมดแรงแล้วก็เอนพิงกำแพงที่อยู่ด้านหลัง
“เย่เนี่ยนโม่ ฉันต้องการคำตอบเดียว ถ้าระหว่างฉันกับอ้าวเสว่เลือกได้เพียงคนเดียว คุณจะเลือกใคร!” ถึงแม้เธอจะรู้ไม่ว่าเย่เนี่ยนโม่จะเลือกใคร เธอก็ไม่คิดจะแย่งเขามาจากอ้าวเสว่จริงๆ แต่ทว่าในใจก็อดไม่ได้ที่จะแอบหวังเล็กๆ
“ผมเคยบอกแล้วว่าผมไม่ได้รักเธอ นี่ยังไม่เพียงพออีกเหรอ!” เย่เนี่ยนโม่สุดเจ็บปวด เขารักติงยียี เขาไม่ต้องการให้เธอทุกข์ทรมาน อ้าวเสว่ตอนนี้กำลังทานยา สถานการณ์กำลังดีวันดีคืน ขอเวลาอีกนิดหน่อยเขาก็จะสามารถรักษาคำสัญญาได้แล้ว
ติงยียียิ้มอย่างขมขื่นแล้วหลบมือที่เขาต้องการจะยื่นมา น้ำตาได้ไหลจนแห้ง แห้งจนทรมาน “คุณไม่ได้รักเธอ แต่กลับไม่ยอมปล่อยเธอ คุณบอกคุณรักฉันแต่กลับไม่ต้องการที่อยู่ด้วยกันกับฉัน”
เย่เนี่ยนโม่เข้าใจถึงความสิ้นหวังของเธอ อยากโอบกอดเธอเข้ามาในอ้อมกอด ติงยียีกลับหันหลังแล้ววิ่งเข้าบ้านไป เธอตอนนี้ไม่อยากฟัง ไม่อยากเห็นและไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น เย่เนี่ยนโม่ชกเข้าที่กำแพงสุดพลัง แล้วปล่อยให้เลือดจากกำปั้นไหลสดๆออกมา
ช่วงเช้าตรู่ ติงยียีจ้องมองคราบเลือดบนกำแพง คิดว่าตัวเองนั้นจะดีขึ้นหลังหนึ่งคืนผ่านไป แต่กลับพบว่าตัวเองยังคงเจ็บปวดอย่างไม่สามารถควบคุมได้
รถไฟชั้นใต้ดินเปิดข่าวของห้างสรรพสินค้านานาชาติ เย่เนี่ยนโม่ในชุดสูทรองเท้าหนังกำลังให้สัมภาษณ์กับสื่ออย่างใจเย็น วินาทีที่กล้องเบี่ยงมา เย่เนี่ยนโม่ได้หันหน้า เธอรีบเบนสายตาหลบอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นตึกๆขึ้น
เมื่อเข้ามาในห้องสำนักงาน อ้าวเสว่เดินเข้าหามาทักทายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “อรุณสวัสดิ์จ้ะ เธอดูเศร้าสร้อยแบบนี้ จะถูกฉันเอาชนะได้นะ”
เห็นเธอที่เย่อหยิ่งดุจนกยูง ติงยียียิ้มขมขื่นแล้วนั่งลงในห้องทำงาน สาวๆในห้องสำนักงานกำลังซุบซิบกันเรื่องนิตยสาร ซุบซิบไปซุบมา หัวข้อบทสนทนาได้เปลี่ยนมาที่นักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงในเมืองตงเจียง และแน่นอนเย่เนี่ยนโม่ก็คือหนึ่งในนั้น
ติงยียีกำลังใช้คอมพิวเตอร์อย่างหงุดหงิด ความคิดในหัวสมองยุ่งเหยิงราวกับก้อนไหมพรม ทำไมวันนี้ทุกๆคน ทุกๆสถานที่ถึงมีแต่เงาของเย่เนี่ยนโม่!
ในร้านกาแฟ เย่เนี่ยนโม่ก้มหน้าก้มตาจัดการเอกสาร แล้วยื่นเอกสารที่เซ็นเสร็จให้กับเย่ป๋อ “คุณต้องการพบฉันเหรอ” แวบแรกที่ซ่งเมิ่นเจ๋เดินเข้ามาก็เห็นเขา เขาเป็นอะไรที่สะดุดตาจริงๆ
“ช่วงนี้ติงยียีอารมณ์แปรปรวน ผมหวังว่าคุณจะสามารถอยู่เป็นเพื่อนเธอให้มากๆหน่อย” เย่เนี่ยนโม่เงยหน้าจากกองเอกสาร แล้วพูดตัดเข้าประเด็นตรงๆ
“ขาคุณลุงมีปัญหา ต่อไปอาจจะไม่สามารถเดินได้อีก เพราะฉะนั้นพักนี้เธอก็เลยค่อนข้างทุกข์” ซ่งเมิ่นเจ๋ถอนหายใจ
เย่เนี่ยนโม่คิ้วขมวดแน่น เธอยอมที่จะแบกรับไว้ก็ไม่ยอมที่จะบอกกับตัวเอง จิตใจของเขากำลังปั่นป่วน แต่ใบหน้ากลับกล่าวเบาๆอย่างใจเย็น :“ต้องรบกวนคุณแล้วนะ”
ต่อให้เขาไม่พูด ซ่งเมิ่นเจ๋ก็ต้องปลอบประโลมเพื่อนของตัวเองอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เธอคิดไม่ตกคือ เย่เนี่ยนโม่ดีสมบูรณ์แบบขนาดนั้น ทำไมถึงชอบติงยียีได้ แล้วความชอบแบบนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน
“คุณรักติงยียีจริงๆเหรอ” ก่อนที่จะออกจากร้านกาแฟ ซ่งเมิ่นเจ๋ได้หันหน้ามาถาม เย่เนี่ยนโม่เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร จากนั้นกล่าวเบาๆ: “คุณคิดว่าอย่างไรล่ะ”
ซ่งเมิ่นเจ๋ชะงัก แล้วเข้าใจทันที ถ้าหากว่าไม่รัก เย่เนี่ยนโม่ไม่จำเป็นต้องมาหาตัวเอง คนที่เพียบพร้อมอย่างเขา มีความรักมากมายที่รออยู่แค่เอื้อม ไม่จำเป็นต้องมาทำถึงขนาดนี้
ในตอนค่ำ ติงต้าเฉินทานอาหารเสร็จก็อยากจะเข้าไปในห้องทันที ติงยียีรีบวางถ้วยตะเกียบในมือลงแล้วกล่าว :“พ่อ หรือให้หนูเข็นพ่อไปเดินเล่นข้างนอกไหม”
“ไม่ต้องหรอก พ่อไม่อยากไปไหนทั้งนั้น” เขาส่ายหน้า แล้วเข็นรถเข็นเข้าประตูไป ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความกดดันแห่งความเย็นยะเยือก
ติงยียีถอนหายใจ เก็บกวาดทำความสะอาดห้องครัวแล้วก็กลับไปที่ห้อง จากนั้นหาสมุดจดบันทึกประจำวันที่ไม่ได้จดมานาน เปิดออกแล้วเขียนประโยคลงไปทีละคำๆ:“ขอให้คุณพ่อเข้มแข็งสามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้ วันนี้ไม่มีโทรศัพท์จากเขา แต่มีเงาของเขาอยู่ทุกที่”
เขียนเสร็จแล้วเธอก็อ่านดู จากนั้นทำการขีดฆ่าคำที่เขียนทิ้งทั้งหมด ปิดสมุดจดบันทึกลง ติงยียีเหม่อมองโคมไฟอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเธอก็ยังอยากจะเขียนระบายความในใจอยู่ดี จึงได้เปิดสมุดจดบันทึกอีกครั้ง แล้วเขียนใหม่อีกรอบภายใต้ร่องรอยที่ถูกขีดฆ่า
ในหนึ่งสัปดาห์ สมุดจดบันทึกถูกเปิดเขียนไปหลายหน้า จากคำไม่กี่ประโยคกลายเป็นความคิดถึงที่เต็มหน้ากระดาษ เขากำลังทำอะไรอยู่ เขายอมแพ้แล้วจริงเหรอ ความคิดด้านลบผุดขึ้นในสมองของเธอเรื่อยๆราวกับเกมเก้าห่วงปริศนา
ติงยียีโยนปากกาที่อยู่ในมือทิ้งไป ขยี้ภาพออกแบบของตัวเองทิ้งลงถังขยะ เหลืออีกเพียงครึ่งเดือนจะต้องส่งภาพการออกแบบแล้ว สภาพของเธอตอนนี้แย่สุดๆ
ในห้องสำนักงาน อ้าวเสว่กำลังพูดคุยด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เธอเดินออกมาจากห้องสำนักงานมุ่งตรงไปที่ห้องเครื่องดื่ม จะใช่คุยกับเย่เนี่ยนโม่หรือเปล่านะ
ติงยียีที่เซ่อๆซ่าๆหยิบแก้วน้ำแล้วก็ไปที่ห้องเครื่องดื่ม อ้าวเสว่ที่กำลังชงกาแฟ พลางชงพลางพูด :“ค่ะๆ ได้ค่ะ หนูเองก็อยากไปมากเช่นกันค่ะ”
น้ำชาร้อนๆเทล้นลวกโดนนิ้วมือของติงยียี เธอจึงรีบดึงมือกลับ รู้สึกเศร้าในใจ ที่แท้ทั้งสัปดาห์นี้อ้าวเสว่มีการติดต่อกับเย่เนี่ยนโม่มาโดยตลอด
อ้าวเสว่เหลือบมองเธอด้วยความมึนงง หันหลังแล้วก็ออกจากห้องเครื่องดื่มไป จากนั้นพูดกับโทรศัพท์ว่า “ค่ะ ได้ค่ะ น้าเซี่ยหนูจะไปเมื่อเลิกงานนะคะ”
“โอ๊ย!” ติงยียีรีบขยับแก้วที่ล้นน้ำออก มือรู้สึกปวดแสบปวดร้อน แต่มุมปากกลับอดไม่ได้ที่ยกยิ้มขึ้น
หลังเลิกงาน ติงยียีรีบวิ่งไปที่ศูนย์การค้าดุจพายุ ซ่งเมิ่นเจ๋รออยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว เห็นเธอยัดกระดาษแผ่นหนึ่งใส่มือของเธอ จากนั้นกล่าว:“นี่เป็นคุณหมอที่เพื่อนฉันรู้จัก ช่วงนี้กลับประเทศมาพักผ่อน เป็นคุณหมอที่เชี่ยวชาญด้านกระดูก เธอลองพาคุณลุงไปดูนะ”

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset