สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1466 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1366

ติงยียีกอดเธอด้วยความซาบซึ้ง ตอนนี้ขอแค่มีความหวังอันน้อยนิด เธอก็ไม่มีทางจะปล่อยไป ซ่งเมิ่นเจ๋ถอนหายใจเมื่อเห็นเธอเป็นแบบนี้ คุณหมอเป็นเย่เนี่ยนโม่หามา เขากำชับกับตัวเองว่าไม่ให้บอกติงยียี
ทั้งคู่เดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า ติงยียีอยากจะซื้อไม้เท้าสักอันให้คุณพ่อ ข้างๆร้านเครื่องมือแพทย์ก็คือร้านเฟอร์นิเจอร์ในครัวเรือน ติงยียีหันหน้าไปโดยบังเอิญ เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยกำลังเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์
ทำไมเย่เนี่ยนโม่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ หัวใจของเธอตุ้มต่อมราวกับกลองก็ไม่ปาน ไม่อยากจะมองเขา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตความเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถของเขา เห็นร่างของเขาค่อยๆจากไป ติงยียีคิดก็ไม่ต้องคิดเดินตามไปทันที
เธอเดินตามร่างนั้นเข้าไปในร้านเฟอร์นิเจอร์ครัวเรือน เห็นเขาเดินไปทางผู้หญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวยืนเขย่งปลายเท้า ทั้งคู่ดูสนิทสนมกัน ขาของติงยียีกำลังสั่นเทา อดไม่ได้ที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า อารมณ์ที่ตึงเครียดได้ผ่อนคลายลงเมื่ออีกฝ่ายนั้นหันหลังมา
เธอจำผิดคน ไม่ใช่เย่เนี่ยนโม่ “ยียี เธอเป็นอะไร” ซ่งเมิ่นเจ๋รีบวิ่งมาถาม ติงยียีจึงร้องไห้ออกมา: “เมิ่นเจ๋ ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้เลย ฉันคิดถึงเขาเหลือเกิน”
ซ่งเมิ่นเจ๋ลูบหลังของเธอเบาๆ แล้วกล่าวปลอบประโลม :“คิดถึงเขาก็ไปหาเขาสิ”
คำพูดของซ่งเมิ่นเจ๋ราวกับผ้าที่ปัดเช็ดม่านหมอกที่ดำทะมึน ติงยียีพยักหน้าให้กับเธอ แล้ววิ่งออกไปจากห้างสรรพสินค้า ในใจมีเพียงความคิดเดียวคือ อยากเจอเขา!
รถแท็กซี่มาจอดบริเวณทางเข้าในเขตไฮโซ ติงยียีถูกรั้ง “สวัสดีครับ กรุณากรอกข้อมูลก่อนครับ ทางเราขอสอบถามเจ้าของบ้านก่อนถึงจะปล่อยเข้าได้ครับ”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหยิบสมุดกรอกข้อมูลออกมา ติงยียีสะดุ้งเบาๆแล้วกล่าวขึ้น:“ไม่แจ้งเจ้าของบ้านไม่ได้เหรอคะ ฉันแค่เข้าไปดูแวบเดียวเองค่ะ”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมองเธอด้วยความฉงนใจ มีอย่างที่ไหนที่เดินทางมาแต่ไกลเพื่อมาดูเพียงแวบเดียว จึงส่ายหน้าปฏิเสธ ลมพัดมาเบาๆ ความใจร้อนเมื่อสักครู่ได้กลายเป็นความวิตกกังวล ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ต้องเจอตัวเองจะทำอย่างไรดี
“หรือคุณจะโทรหาเพื่อนของคุณก่อนไหม ให้อีกฝ่ายออกมารับคุณ” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นเธอลังเลจึงเตือนเธอด้วยความหวังดี
โทรศัพท์ ใช่โทรศัพท์! ติงยียีหยิบโทรศัพท์ออกมา บนหน้าจอแสดงแบตเตอรี่ว่าเหลือ4%เนื่องแบบเตอรี่เหลือน้อย เครื่องโทรศัพท์จึงกะพริบไฟสีแดงเตือนไม่หยุด
โทรศัพท์โทรติด เสียงรอสายที่เชื่องช้าและยาวนานทำให้หัวใจเธอเต้นตึกๆ “ฮัลโหล” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นในขณะที่มีเสียงแตรรถดังแหลมมาจากด้านหลังติงยียี
เธอจึงรีบหลบอย่างไว เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ปรากฏว่าโทรศัพท์ได้ปิดเครื่องเนื่องจากแบตเตอรี่หมด เธอจึงกดปุ่มเปิดปิดเครื่องรัวๆ สุดท้ายก็ต้องปล่อยออกด้วยความจำใจ
อารมณ์ที่เต็มไปด้วยความอัดอั้นไม่มีทางระบายออกมาได้ จึงต้องจากไปด้วยความหงุดหงิด เดินไปตามถนนที่สองข้างปลูกด้วยต้นการบูร เดินได้สักพักก็มีเสียงแหลมดังก้องจากด้านหลัง
มีรถออฟโรดคันหนึ่งได้แล่นผ่านเธอไป แล้วลับหายไปจากมุมอย่างรวดเร็ว สักพัก เสียงรถดังขึ้นอีกครั้ง รถออฟโรดได้วิ่งกลับมา
ติงยียีถูกแสงไฟหน้าของรถแยงเข้ามาในดวงตา จึงยื่นมือออกไปเพื่อบังแสงไฟ เสียงปิดประตูรถดังขึ้น แล้วมือของเธอถูกจับไว้
เย่เนี่ยนโม่อยู่ในบ้านกำลังเตรียมตัวไปอาบน้ำ ถอดเสื้อออกได้เพียงครึ่ง ก็เห็นสายโทรศัพท์ของติงยียี เพิ่งจะกดรับสายก็ได้ยินเสียงดังแหลม ยังไม่ทันรอให้เขาได้พูด โทรศัพท์ก็ตัดสายลง
วินาทีที่โทรศัพท์ถูกตัดสายนั้น เขาตกอยู่ในความตระหนกกลัวอย่างไม่รู้จบ ในหัวสมองว่างเปล่า จับโทรศัพท์คว้ากุญแจรถแล้วก็วิ่งออกไป ขับรถมาถึงตรงมุม เห็นร่างรางๆข้างถนนทำให้เขาวิตกกังวล จึงตัดสินใจขับกลับไปดู คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับติงยียี
ติงยียีมองตะลึงดูคนที่ปกติมีระเบียบสะอาดสะอ้าน เวลานี้ชายเสื้อหลุดรุ่งริ่งออกมาจากเข็มขัด กระดุมเสื้อก็ติดเพียงไม่กี่เม็ด ทำให้เห็นถึงอกสีแทนวับๆแววๆ และผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง
“มาหาผมมีเรื่องอะไรเหรอ” เย่เนี่ยนโม่ปกปิดความตระหนก ซ่อนความดีใจและอารมณ์อื่นๆไว้ แล้วกลับสู่ท่าทางที่สงบเยือกเย็น
ติงยียีรู้สึกปากของตัวเองแห้ง อยากจะบอกคำรักที่ได้ฝึกระหว่างทาง แต่กลับไม่สามารถพูดออกมาได้
“ผมต้องไปแล้ว” เย่เนี่ยนโม่หันหลังกลับ แต่แขนเสื้อถูกดึงไว้ “อย่าเพิ่งไป” ติงยียีกล่าวเบาๆ
เขาไม่ได้หันหน้ามา ปล่อยให้เธอจับแขนเสื้ออย่างตามใจชอบ ติงยียีเริ่มคัดจมูก นิ้วมือจับไว้แน่น จากนั้นค่อยๆเอนศีรษะเข้าไปซบที่แผ่นหลังของเขา แล้วกล่าวเบาๆ:
“เจ็ดวันมานี้ ฉันรู้สึกว่าคุณน่ารำคาญมาก ไม่ว่าจะนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่สำนักงาน หรือในนิตยสารก็มักจะเห็นคุณ เมื่อสักครู่ฉันเพิ่งจะเข้าใจ ไม่ใช่เป็นเพราะการปรากฏตัวกะทันหันของคุณ แต่เป็นเพราะในใจเริ่มสนใจคุณโดยไม่สามารถควบคุมไม่ได้”
แขนเสื้อในมือถูกดึง เธอลนลานเงยหน้าขึ้น แล้วตกสู่ในภวังค์ของแววตาที่อ่อนโยน “ดังนั้น คำตอบของคุณคืออะไร” เย่เนี่ยนโม่พูดชักจูงเธอ บังคับให้เธอพูดความรู้สึกในใจออกมา เขาไม่อยากให้เธอหนีความจริง บนเส้นทางความรักนี้ ขอเพียงแค่เธอก้าวออกมาหนึ่งก้าว ที่เหลือเก้าสิบเก้าก้าวปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขาเอง
“ดังนั้น••ดังนั้น•••” ติงยียีบีบขยำนิ้วมือตัวเอง จ้องมองแววตาขอเขาแล้วพูดย้ำคำพูดนั้นซ้ำๆ
“พูดออกมา” เย่เนี่ยนโม่ยังคงไม่ยอมปล่อยเธอ ก้าวช้าๆเข้าไปหาเธอราวกับเสือชีตาห์ สำหรับเธอที่เป็นเหยื่อทำได้เพียงถอยหลังอย่างจนปัญญา ใจกระตุกขึ้น ติงยียีหลับตาลงแล้วตะโกนขึ้นอย่างเสียงดัง: “เย่เนี่ยนโม่ ฉันชอบคุณ”
ริมฝีปากเกิดการสัมผัสที่ชุ่มชื้นขึ้น เธอลืมตา เย่เนี่ยนโม่ได้ดึงกลับมาแล้ว เขายิ้มปานจิ้งจอก มือที่เรียวยาวจับเข้าที่โคนหูของเธอแล้วกล่าว :“เมื่อกี้นี้คือรางวัล”
“อะไร! ใบหน้าติงยียีแดงก่ำ มือถูกดึง เย่เนี่ยนโม่จูงมือของเธอแล้วมุ่งไปที่รถ ช่วงเวลาต่อจากนี้คือเวลาอันแสนหวานของพวกเขาของสองคน
แสงยามค่ำคืนสาดส่องเรือนร่างของคู่รักคู่นี้ ติงยียียืนหน้าบ้านของตัวเอง ก้มหน้าเล็กน้อยอย่างเขินอาย เย่เนี่ยนโม่หอมเธอเบาๆแล้วกล่าวขึ้น :“ราตรีสวัสดิ์”
“อืม” เธอก้มหน้าตอบรับแล้วก็วิ่งเข้าบ้านไป มุ่งตรงไปบนห้องชั้นสอง หน้าต่างสามารถมองเห็นเย่เนี่ยนโม่ได้พอดี ราวกับรู้สึกได้ก็ไม่ปาน เขาเงยหน้าขึ้นมองที่หน้าต่าง ติงยียีจึงหลบแอบอยู่ด้านหนังผ้าม่าน เย่เนี่ยนโม่ที่อยู่ด้านล่างตึกยกมุมปากขึ้น จากนั้นก็ขับรถจากไป
บ้านตระกูลเย่ เซี่ยชีหรั่นรีบเดินมาหาด้วยความกระวนกระวาย แล้วกล่าวขึ้น :“ลูกแม่เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น เกิดเรื่องขึ้นเหรอ”
“ไม่มีอะไรครับแม่” เย่เนี่ยนโม่อยากรักษาท่าทีให้สงบ แต่ว่าความอารมณ์ดีกับรอยยิ้มที่ไม่สามารถควบคุมได้ทำให้เขาดูร่าเริงมาก แม้แต่เย่เชินหลินก็อดมองเขาไม่ได้
ไห่โจ๋ซวนที่มาหาเขาเพื่อปรึกษาหารือเรื่องโครงการ ได้ถือโอกาสพักค้างคืนอยู่ในห้อง เห็นเขาก่อนออกกับหลังกลับมาราวกับคนละคน จึงกล่าวติดตลกขึ้น:“ยังไง ถูกหวยห้าล้านเหรอ ไม่สิ ห้าล้านยังไม่อยู่ในสายตานายด้วยซ้ำมั้ง”
เย่เนี่ยนโม่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นจับลูกบาสบนชั้นมาชู้ตใส่ห่วงที่อยู่ข้างผนังบ้านอย่างแม่นยำ และเวลานี้เสียงข้อความในโทรศัพท์ดังขึ้น ข้อความของติงยียีมีพียงหกคำ “ลืมบอกราตรีสวัสดิ์”
“ราตรีสวัสดิ์” เย่เนี่ยนโม่เพิ่งกดปุ่มส่ง โทรศัพท์ก็ถูกไห่โจ๋ซวนแย่งไป ไห่โจ๋ซวนเห็นข้อความแล้ว ได้กลั้นความปั่นป่วนในจิตใจเอาไว้ จากนั้นกล่าวติดตลก: “ดูท่าแล้วนายกับติงยียีคงคบกันแล้วจริงๆ”
เย่เนี่ยนโม่ไม่ได้แก้ตัว ไห่โจ๋ซวนจึงกล่าวอย่างระมัดระวัง :“อย่างนั้นอ้าวเสว่ล่ะนายจะจัดการยังไง”
จากบรรยากาศที่ครื้นเครงกลายเป็นเย็นยะเยือกขึ้นทันใด เย่เนี่ยนโม่ได้ตัดสินใจจะต้องรีบจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
ในห้องสำนักงาน ติงยียีกำลังวาดรูปต้นหญ้า และฮัมเพลงเบาๆ อ้าวเสว่กับเหยนหมิงเย้าเดินผ่านเธอไป เมื่อเห็นอ้าวเสว่ติงยียีก็อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลง จากที่อารมณ์ดีๆอยู่ก็อันตรธานหายไป สถานะของเธอตอนนี้น่าอับอายมาก แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่เคยคิดคิดว่าตัวเองจะเป็นมือที่สาม แต่ว่าให้เธอปล่อยมือ เธอก็ทำไม่ได้
จู่ๆโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้ความคิดเธอหยุดชะงัก ในโทรศัพท์เสียงเพื่อนบ้านกล่าวอย่างลนลาน:“วันนี้แพนด้ามาเดินวนเวียนอยู่ที่บ้านพวกเราตลอด แล้วกัดเข้าที่ขากางเกงจากนั้นลากให้ไปที่บ้านเธอ ฉันไม่วางใจจึงได้ไปดู เห็นพ่อของเธอล้มอยู่ และตอนนี้ก็อยู่ที่โรงพยาบาลเหรินซิน เธอรีบมาด่วน”
ติงยียีจึงรีบลางานแล้วมุ่งตรงไปโรงพยาบาล ติงต้าเฉินนอนตะแคงอยู่บนเตียง เมื่อเห็นเธอก็ทำหน้ายิ้มแล้วกล่าวขึ้น:“อยากจะทำอาหารเย็นให้หนู แต่คิดไม่ถึงว่าจะไม่ได้เรื่องขนาดนี้”
“พ่อคะ พวกนี้พ่อไม่ต้องทำหรอกนะ พ่อรักษาตัวอย่างสบายใจก็พอ” ติงยียีทั้งโกรธทั้งเป็นห่วง เป็นขนาดนี้แล้ว ยังคิดอยากจะทำอาหารอีก!
ติงต้าเฉินรีบก้มหน้าปกปิดอารมณ์ที่มีทั้งหมด ติงยียีกุมมือของเขาไว้ แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน :“พ่อจ๋า เมิ่นเจ๋ได้แนะนำคุณหมอที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศให้พ่อ คุณหมอเก่งมากเลยนะ ไม่แน่อาจจะมีวิธีรักษา”
ติงต้าเฉินเงยหน้าขึ้น ในแววตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง แล้วกล่าวอย่างซาบซึ้งใจ “ต้องขอบใจเมิ่นเจ๋เด็กคนนั้นที่มีใจช่วยเหลือ” ติงยียีรีบหยิบกระดาษออกมา แล้วทำการนัดหมายกับอีกฝ่ายเสร็จสรรพเรียบร้อย
ตกดึก ติงยียีได้โทรศัพท์กับเย่เนี่ยนโม่ แล้วบอกข่าวนี้ให้กับเขาด้วยความตื่นเต้น แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้เจอหน้ากัน แต่ว่าในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความสุขล้น
“พรุ่งนี้ศาลนัดอ่านคำพิพากษา รีบเข้านอนเถอะ” เย่เนี่ยนโม่กล่าว ติงยียีคิดว่าพรุ่งนี้ก็จะพิจารณาคนร้ายที่ชนคุณพ่อแล้ว จึงตอบรับอย่างเชื่อฟังแล้วก็วางสายโทรศัพท์ไป และเธอก็นอนไม่หลับทั้งคืน
วันรุ่งขึ้น ติงยียีอาศัยช่วงพักกลางวันพาคุณพ่อไปตามที่อยู่ในกระดาษ คุณหมอมีความอดทนมาก มองดูขาของติงต้าเฉินแล้วส่ายหน้า “ไม่ทันแล้ว สายไปสำหรับการรักษาแล้ว ตอนนี้ขาข้างซ้ายกลับมาเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว”
ติงต้าเฉินเหมือนจะทำใจยอมรับความจริงไว้แล้ว จึงตบที่หลังมือของติงยียีเบาๆแล้วถอนหายใจกล่าวขึ้น:“ลูกพ่อ พ่อรู้ว่าหนูพยายามเต็มที่แล้ว ไม่เป็นไรนะ”
ติงยียีถึงแม้ว่าในใจนั้นจะเจ็บปวด แต่ก็ยังฝืนยิ้มให้แล้วกล่าวขึ้น:“พ่อคะ ไม่เป็นไรนะ ต่อไปหนูจะเลี้ยงพ่อเอง”
เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาล เย่เนี่ยนโม่ได้โทรศัพท์มา ติงยียีเสียงแหบแห้งบอกผลให้เขาได้ทราบ เวลานี้เธอไม่อยากจะแบกรับไว้คนเดียวอีกต่อไป
“ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน” เย่เนี่ยนโม่กล่าว ติงยียีมองดูรอบๆแล้วกล่าวสะอึก: “ไทม์สแควร์”
“อย่าวางสายนะ” เย่เนี่ยนโม่รีบเอ่ยประโยคขึ้น โทรศัพท์ฝั่งนั้นมีเสียงดังกุกกัก ติงยียียืนอยู่กลางจัตุรัส ถือโทรศัพท์ไว้อย่างเงียบๆ ในใจรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับรับรู้ถึงอารมณ์ของเธอ ติงต้าเฉินจึงเงียบไม่พูดไม่จา
ด้านหลังมีเสียงร้องกรี๊ด คนผ่านไปมาต่างหยุดชะงักเท้ามองจอLEDขนาดใหญ่บนไทม์สแควร์ “หันหลัง” เย่เนี่ยนโม่กล่าว
ติงยียีเข็นรถเข็นแล้วหันหลัง จอLEDขนาดใหญ่ เดิมทีที่เป็นป้ายโฆษณาได้ถูกดึงออก อักษรสีดำที่ตัดกับหน้าจอสีขาว บนนั้นมีตัวอักษรเพียงไม่กี่คำ “ติงยียี สู้ๆ!”
“ติงยียี สู้ๆเหรอ?” ผู้คนต่างพูดประโยคนี้ซ้ำๆ เมื่อได้ยินแล้วราวกับเสียงปลุกเร้าให้กำลังใจ
“ติงยียี สู้ๆ” ในโทรศัพท์ เย่เนี่ยนโม่กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม เมื่อได้ยินเสียงสะอึกจากฝั่งนั้น หัวใจของเขาก็อ่อนลงดุจน้ำเปล่า อยากจะทำดีกับเธออีกหน่อย ทำดีอีกสักหน่อย!

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset