สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1467 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1367

ตอนบ่าย ณ ศาลพิจารณา ติงยียีเดินไปในชั้นศาล เห็นเย่เนี่ยนโม่นั่งอยู่บนที่นั่ง คิดอยากจะเดินเข้าไป แต่อีกร่างหนึ่งเร็วกว่าได้เดินผ่านเธอไป
“เนี่ยนโม่ คุณมาได้อย่างไร” อ้าวเสว่โอบที่ไหล่ของเขาแล้วออดอ้อนออเซาะ เย่เนี่ยนโม่เลิกคิ้ว “วันนี้คุณไม่ได้ไปพบคุณหมอตามที่ลุงสวีจัดไว้เหรอ”
“คุณไปเป็นเพื่อน ฉันก็จะไป!” อ้าวเสว่ทำปากมุ่ยอย่างออดอ้อน เย่เนี่ยนโม่รับปากอย่างจนปัญญา หันไปอย่างไม่ตั้งใจ เห็นติงยียีที่ยืนอยู่ไม่ไกลมองมาทางพวกเขา
เขาขมวดคิ้วขึ้น กำลังคิดที่จะลุกขึ้นไปหาเธอ ติงยียีได้ยิ้มให้กับพวกเขา แล้วก็นั่งลงแถวหน้า เย่เนี่ยนโม่จ้องที่แผ่นหลังของเธอ อ้าวเสว่ที่อยู่ข้างๆจึงเกิดอาการไม่พอใจ ดึงหน้าเขาให้หันมาแล้วกล่าวขึ้น :“ทำไมคุณเอาแต่จ้องมองเธอ ฉันไม่น่ามองหรือไง”
“อ้าวเสว่ คุณก็รู้อยู่เต็มอกว่าตอนนี้ระหว่างเราไม่มีทางเป็นไปได้อีกแล้ว” เย่เนี่ยนโม่ดึงมือของเธอออก อ้าวเสว่เอามืออุดหูแล้วกล่าวซ้ำๆว่า: “ฉันไม่ฟังๆ คุณรับปากกับลุงสวีว่าจะดูแลฉันจนกว่าจะหายดี!”
การมาของผู้พิพากษาได้สยบหัวข้อการสนทนาครั้งนี้ที่เกือบทำให้อารมณ์เย่เนี่ยนโม่ปะทุขึ้น บนม้านั่ง ชายหนุ่มยืนอย่างไม่รู้สึกรู้สา เข้าไปอยู่ในเรือนจำไม่กี่ปี ออกมาไม่เพียงแต่มีงานทำ ยังมีเงินหลายแสนหยวนใช้อีก นี่ดีกว่าการทำงานหนักเยอะเลย
“จำเลย จะยอมรับสารภาพหรือไม่ว่าได้ขับรถชนแล้วหนีในคืนวันที่14เดือน9บนถนนหลงฉวน” ผู้พิพากษากล่าวถาม
“ผมยอมรับสารภาพครับ เป็นผมจริงๆที่ขับชนแล้วหนี” ชายหนุ่มกล่าวอย่างเสียงดัง emilyก็เป็นพยานอยู่ข้างๆ ทุกอย่างได้ถูกวางแผนไว้หมดแล้ว ผู้พิพากษากำลังจะทำการตัดสิน ประตูก็ได้ถูกผลักออก Bakerเดินเข้ามาอย่างไม่ยี่หระ
Bakerเดินเข้าไปด้านหน้าของผู้พิพากษาแล้วกล่าวบางประโยคเบาๆ ผู้พิพากษาพยักหน้า : “มีการคัดค้านคดีนี้ ศาลขอเลื่อนการพิจารณาออกไปชั่วคราว”
มีการคัดค้าน! จางถังกำลังคิดที่จะทำอะไร อ้าวเสว่ลนลานในใจ และก็ไม่สามารถจะไปถามเย่เนี่ยนโม่ได้
นอกศาล เย่เนี่ยนโม่เรียกBakeหยุดr Bakerเดาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าเขาจะต้องเรียกตัวเอง จึงได้กล่าวขึ้น: “ก่อนหน้านี้ผมได้ไปที่บ้านเกิดของชายคนที่รับสารภาพผิด ครอบครัวของเขาทั้งสามรุ่นทำธุรกิจเล็กๆ จะส่งเสียเลี้ยงดูดาราอย่างemily ดูเหมือนจะไม่น่าจะเป็นไปได้ มีความเป็นไปได้อย่างเดียวคือเขารับโทษติดคุกแทนคนอื่น”
“อะไรนะ! ติงยียีเดิมทีก็ได้วิ่งตามBakerออกมาเช่นกัน ได้ยินคำพูดของเขาแล้วถึงกับตกใจ Bakerได้แต่ปลอบประโลมเธอว่าจะหาพยายามหาตัวผู้ร้ายตัวจริงมารับโทษให้ได้
ติงยียีลากสังขารที่เหนื่อยล้ากลับบ้าน ติงต้าเฉินมารับแล้วกล่าวขึ้น:“เป็นไงบ้าง คนก่อเหตุสุดท้ายถูกตัดสินเช่นไร”
“พักการตัดสินไว้ชั่วคราวค่ะ บอกว่าหลักฐานไม่เพียงพอ” ติงยียีกล่าวอย่างหงุดหงิด ติงต้าเฉินฟังจบแล้วก็กลับไปในห้องอย่างเงียบๆ ติงยียีเป็นกังวลสุดๆ ตั้งแต่ที่ขาของคุณพ่อได้รับบาดเจ็บ เวลาที่คุณพ่อใช้อยู่ในห้องนับวันยิ่งนานขึ้น
ในห้อง ติงต้าเฉินถือรูปของภรรยาไว้ จากนั้นถอนหายใจแรง กลางดึก แสงไฟจากคอมพิวเตอร์ในห้องรับแขกยังคงกะพริบไฟอ่อนๆ ตั้งแต่ที่ขาของติงต้าเฉินได้รับบาดเจ็บ ติงยียีกลัวว่าเขาจะล้ม เธอจึงนอนที่ห้องรับแขกเป็นประจำ
ติงต้าเฉินเข็นรถเข็นแล้วหยิบผ้าห่มบางๆมาคลุมบนตัวเธอ บนโต๊ะมีสำเนาข้อมูลงานพาร์ทไทม์หนาปึกวางอยู่
เพื่อตัวเองแล้ว ลูกคนนี้ต้องสู้สุดชีวิต ตอนนี้เขาคือคนที่ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะเป็นภาระให้กับลูก ติงต้าเฉินมองติงยียีที่นอนหลับก็ยังขมวดคิ้ว น้ำตาจึงชายชราได้อาบนองแก้ม
“สวัสดีค่ะลุงสวี เงินงวดแรกได้โอนไปในบัญชีของลุงสวี่แล้ว โปรดตรวจเช็คดูนะคะ”
ติงยียีส่งข้อความเสร็จ ก็ทำการส่งอาหารต่อ คุณพ่อตอนนี้ขาได้รับบาดเจ็บ แล้วเธอยังต้องมาคืนเงินใช้หนี้อีก เธอจะต้องขยันให้มากกว่าเดิม
สวีเห้าเซิงที่กำลังแช่ออนเซ็นอยู่ได้ถอนหายใจ เขาไม่ได้อยากให้เด็กคนนี้คืนเงิน แต่ว่าเด็กคนนั้นดื้อรั้นที่จะทำแบบนี้ ช่างทำให้เธอลำบากจริงๆ
“ลุงสวี ขอยืมโทรศัพท์ลุงใช้หน่อย หนูจะโทรศัพท์หาเย่เนี่ยนโม่!” อ้าวเสว่ว่ายเข้ามา สวีเห้าเซิงได้ยินมาว่าการแช่ออนเซ็นสามารถรักษาอาการซึมเศร้าได้ หลายวันมานี้จึงได้พยายามพูดโน้มน้าวเกลี้ยกล่อมให้เธอมาแช่ออนเซ็น
สวีเห้าเซิงจึงได้ยื่นโทรศัพท์ไปให้เธอ อ้าวเสว่รับมาแล้วเปิดเห็นข้อความที่ติงยียีส่งมาอย่างไม่ตั้งใจ หน้าจึงถอดสี
“อ้าวเสว่ หนูเป็นอะไร ไม่สบายเหรอ” สวีเห้าเซิงเห็นเธอตั้งนานไม่มีการขยับเขยื้อน จึงรีบว่ายมาที่ข้างๆเธอ
อ้าวเสว่ถือโทรศัพท์แล้วสอบถามเขา :“คุณรู้ไหมว่าเธอแย่งแฟนของฉันไป ก็เพราะว่ามีเธอยู่ เนี่ยนโม่ถึงไม่ต้องการฉัน ทำไมคุณถึงต้องยืมเงินให้เธอด้วย!”
“ยียี เด็กคนนั้นพ่อของเธอนอนอยู่โรงพยาบาลต้องการใช้เงินด่วน” สวีเห้าเซิงพยายามอธิบาย อ้าวเสว่ยัดโทรศัพท์ใส่มือของเขา แล้วพึมพำ: “หนูไม่สน หนูจะไปเอาเงินคืนเดี๋ยวนี้ หนูไม่อยากให้เธอยืมเงิน!”
“เสี่ยวเสว่!” สวีเห้าเซิงตวาดเสียงขึ้น อ้าวเสว่ตกใจ ลุกออกจากสระด้วยใบหน้าบูดบึ้ง สวีเห้าเซิงรีบตามขึ้นจากสระไป
“ฉันว่าคุณเห็นอีกฝ่ายเป็นลูกสาวมากกว่ามั้ง” อ้าวเสว่หันหลังกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง สวีเห้าเซิงมองเธอด้วยความตกใจ “เธอรู้แล้วเหรอ”
“ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองทำอะไร ก็อย่าไปทำ และฉันยังไม่ได้ให้อภัยคุณ คุณจะดุอะไรนักหนา” อ้าวเสว่เยาะเย้ยเขา วันนี้เธอถือว่าเป็นบุญตาได้เห็นว่าท่าทางของคนรับผิดเป็นอย่างไร
สวีเห้าเซิงรู้สึกว่าเธอไม่ค่อยมีเหตุผล ถอนหายใจแล้วกล่าว :“เสี่ยวเสว่อภัยคนได้พึงให้อภัย”
“คุณเลือกแล้วกัน ถ้าเลือกฉันต้องให้เธอนำเงินมาคืนเดี๋ยวนี้ หรือไม่ก็ไปรับเธอมาเป็นลูกสาวซะ” อ้าวเสว่ยื่นคำขาด
สวีเห้าเซิงถอนหายใจ คิดว่าเดี๋ยวค่อยทำการปลอบอ้าวเสว่ทีหลัง ให้เขาไปเอาเงินคืนจากเด็กสาวคนนั้น ให้หยอดเกลือลงบนบาดแผลของคนอื่นแบบนี้เขาทำไม่ได้
อ้าวเสว่เห็นเขาไม่ยอมช่วยตัวเอง ในใจจึงรู้สึกขุ่นเคือง ตอนกลางวันทั้งคู่ไปทานบุฟเฟ่ต์กันที่ร้านอาหาร อ้าวเสว่บอกว่าอยากจะทานกุ้งมังกร สวีเห้าเซิงเห็นว่าเธออารมณ์ดีแล้ว จึงได้รีบไปตักให้
อ้าวเสว่หยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะมา แล้วหาเบอร์โทรของติงยียี ไม่นานโทรศัพท์ก็มีการรับสายขึ้น “สวัสดีค่ะลุงสวี”
“ใครเป็นลุงสวีของเธอ ฉันเป็นลูกสาวของเขา ฉันจะบอกให้นะ ให้รีบนำเงินมาคืนเดี๋ยวนี้” อ้าวเสว่กล่าวอย่างไม่เกรงใจ และแอบรู้สึกสะใจเบาๆ
“ขอยืดเวลาหน่อยได้ไหม” ติงยียีคิดไม่ถึงว่าลูกสาวของอีกฝ่ายจู่ๆจะให้ตัวเองรีบหาเงินไปคืน ตอนนี้ที่บ้านก็มีเงินเก็บไม่มากเท่าไหร่แล้ว
“ไม่ได้ ฉันให้เวลาเธอแค่สามวัน อย่าคิดที่จะไม่คืนเงินนะ!” อ้าวเสว่เห็นสวีเห้าเซิงหยิบกุ้งมังกรมาแล้ว จึงได้รีบพูด
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีท่าทีเยาเย้ยทำให้ติงยียีรู้สึกไม่ดีอย่างมาก ไม่อยากติดค้างหนี้น้ำใจอีกฝ่าย เธอจึงกล่าวขึ้น!”
“ได้ อีกสามวันฉันจะนำเงินไปคืนคุณ”
เมื่วางสายโทรศัพท์ลง ติงยียีมืดมนไปหมด เธอจะไปหาเงินจากที่ไหนตั้งหลายหมื่นหยวน ตอนกลางคืน ติงต้าเฉินเห็นเธอทานอาหารไม่ค่อยลง จึงคีบชิ้นเนื้อใส่ถ้วยของเธออย่างทรมานใจ
“พ่อ พ่อทานเลยค่ะ หนูไม่ทาน” ติงยียีคีบชื้นเนื้อกลับคืนไปในถ้วยของเขา แล้วฝืนยิ้มขึ้น สี่ทุ่มข้อความบอกราตรีสวัสดิ์ส่งของเย่เนี่ยนโม่ส่งมาตามสัญญา
ติงยียียิ้มน้อยยิ้มใหญ่อ่านข้อความไปมา จากนั้นวางโทรศัพท์ลงแล้วเริ่มหางานพาร์ทไทม์ในคอมพิวเตอร์ อาศัยแค่เพียงส่งอาหารเห็นทีแล้วไม่น่าจะไหว คงต้องมองหางานพาร์ทไทม์ที่ได้ค่าตอบแทนสูงๆ
“รับสมัครนางแบบในเถาเป่า ค่าตอบแทน1300ต่อวัน จ่ายสดทันที”
ติงยียีหวั่นไหว จึงส่งรูปถ่ายหนึ่งใบตามเงื่อนไขที่อีกฝ่ายได้ระบุแล้วฝากข้อความไว้ “สวัสดีค่ะ ดิฉันอยากจะสอบถามหน่อยว่านางแบบเถาเป่าต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้างคะ”
สักพักข้อความก็ถูกส่งออกไปอย่างรวดเร็ว “พรุ่งนี้มาแคสหน้ากล้อง แคสหน้ากล้องผ่านก็ได้แล้วค่ะ”
นัดเวลากับอีกฝ่ายเสร็จสรรพเรียบร้อย ติงยียีจึงนอนหลับอย่างกระสับกระส่าย วันรุ่งขึ้น ซ่งเมิ่นเจ๋ได้ยินว่าเธอไปสมัครพาร์ทไทม์ จึงรีบส่ายหน้าขึ้น “นี่มันไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด!”
ติงยียีเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วถอนหายใจ จากนั้นกล่าวขึ้น :“ตอนนี้ฉันต้องการเงินมาก”
ซ่งเมิ่นเจ๋อยากให้เธอไปขอจากเย่เนี่ยนโม่ ไม่กี่หมื่นหยวนสำหรับเย่เนี่ยนโม่เป็นเรื่องจิ๊บๆ แค่เศษเงินค่าเดินทางท่องเที่ยวเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เห็นติงยียีตั้งใจเตรียมตัวไปแคสหน้ากล้อง สุดท้ายเธอก็ไม่พูดอะไร
หลังเลิกงานตอนเย็น ติงยียีรีบไปสัมภาษณ์ที่ตึกตามที่นัดไว้ เข้าลิฟต์ขึ้นตึกไป เมื่อเห็นชื่อบริษัทแล้วถึงได้โล่งอก
ในห้องสำนักงานมีชายหนุ่มสองสามคนกำลังวุ่นวายกับการจัดฉาก เมื่อเห็นเธอแล้วก็ได้ชี้ไปเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ “ไปนั่งตรงนั้นก่อน อีกสักพักค่อยถึงคิวคุณ”
เสียงชายหนุ่มค่อนข้างเย็นชา ติงยียีจึงรีบไปเลือกเก้าอี้นั่งลงตามที่ชายหนุ่มชี้ ข้างๆยังมีผู้หญิงสองสามคนที่แต่งหน้าจัด เห็นติงยียีที่หน้าสดถึงกับยิ้มอย่างดูถูก
ซ่งเมิ่นเจ๋นั่งทำโอทีอยู่ที่สำนักงาน ยิ่งคิดก็รู้สึกผิดปกติ จึงรีบโทรศัพท์ไปหาเย่เนี่ยนโม่
ติงยียีนั่งราวกับเข็มหมุดมองดูหญิงสาวเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่งทีละคนๆ สิบนาทีผ่านไปถึงออกมา ตอนที่ออกมามีบางคนสีหน้าคล้ำเขียว มีบางคนสีหน้าแดงก่ำ
ความสงสัยในใจเริ่มมากขึ้น เธอมองดูไปรอบๆ ถึงพบว่าผ้าม่านในห้องสำนักงานนั้นปิดแน่น โต๊ะทำงานในห้องมีคอมพิวเตอร์เพียงไม่กี่เครื่อง แต่ว่าตรงหน้าคอมพิวเตอร์กลับไม่มีคนนั่งสักคน พนักงานทั้งหมดต่างก้มหน้าวุ่นวายกับการตกแต่งฉาก จิตใจของเธอเริ่มกลัว
“ขออภัยค่ะ ฉันมีธุระด่วน ฉันต้องขอตัวกลับก่อน” ติงยียีลุกขึ้นจะก้าวเดินออกไปด้านนอก ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆรีบกล่าวขึ้น: “อย่าสิ นี่คุณแกล้งกันเหรอ พวกเราอุตส่าห์ปฏิเสธผู้สมัครคนอื่น เพื่อเลือกพวกคุณมา ตอนนี้ก็ถึงคิวคุณแล้ว เข้าไปสิ”
ชายหนุ่มยื่นบัตรสีขาวที่มีหมายเลขให้กับเธอ แล้วให้เธอเข้าไปในห้องที่ผู้หญิงคนอื่นเข้าไป ติงยียีที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ จึงรับบัตรมาแล้วเข้าห้องไป
ในห้องมีขนาดใหญ่กว่าที่เธอคิด ราวแขวนผ้าเรียงกันเป็นหน้ากระดาน ติงยียีผ่อนคลายลง เห็นแล้วน่าจะเป็นงานนางแบบพาร์ทไทม์ของเถาเป่าจริงๆ
“เธอ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดนี้ซะ” ชายหนุ่มที่กำลังจัดผ้าม่านอยู่ไปหยิบเสื้อผ้าบนราวแล้วยื่นให้เธอ ติงยียีรับมาดูแล้วส่ายหน้า
นี่มันเสื้อผ้าที่ไหนกัน เป็นแค่ผ้าสองชิ้นธรรมดาที่ประกอบเข้าด้วยกัน นี่ยังไม่พูดถึงด้านหลังที่เว้าแหว่ง คอเสื้อด้านหน้าก็ต่ำซะเหลือเกิน
เมื่อเห็นเธอส่ายหน้า ช่างภาพจึงกล่าวอย่างไม่พอใจ:“คุณผู้หญิงกรุณาอย่าทำให้คนอื่นเสียเวลาได้ไหม คิดดูว่าคุณสมัครงานอะไรมา และคิดดูว่าค่าตอบแทนต่อวันเท่าไหร่ มีคนตั้งมากมายที่ต่อคิวมาพวกเรายังไม่เลือก”
ติงยียีเริ่มใจอ่อน อีกไม่กี่วันก็จะต้องคืนเงินแล้ว กว่าจะหางานพาร์ทไทม์ได้ไม่ง่ายเลย ช่างภาพเห็นท่าทีของเธอที่อ่อนลง จึงได้กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาลง :“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราแค่ทดสอบว่าคุณขึ้นหน้ากล้องหรือปล่าเท่านั้น รูปภาพเหล่านี้ไม่มีทางที่เผยแพร่ออกไปอย่างแน่นอน วางใจเถอะ”
อีกฝ่ายพูดขนาดนี้แล้ว ติงยียีจึงจำใจหยิบเสื้อผ้าเข้าไปในห้องอย่างอืดอาดยืดยาด ในห้องมีผู้หญิงอายุประมาณสี่สิบกว่ากำลังทำความสะอาด ไม้ปัดขนไก่ปัดฝุ่นบนหน้าต่างจนตลบไปทั่วห้อง ติงยียีมองเธอที่พยายามยกแจกันดอกไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่มุมห้องอย่างทุลักทุเล เธอจึงรีบเดินเข้าไป“คุณน้า เดี๋ยวหนูช่วยค่ะ”

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset