สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1469 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1369

เย่เนี่ยนโม่ที่ยืนอยู่หน้าปากซอยมาโดยตลอด เขามองที่ชั้นสองอยู่นานสองสานก็ไม่เห็นเปิดไฟ ในใจจึงเริ่มรู้สึกแปลกๆ เดินเข้าไปใกล้สองก้าว ประตูถูกเปิดออกจากคนด้านใน ติงยียีวิ่งออกมาอย่างคนไม่มีสติ
เย่เนี่ยนโม่ใช้แรงมหาศาลในการจับตัวเธอไว้ ติงยียีร้องไห้ดิ้นรนอย่างไม่มีสติ ในปากพูดพึมพำ:“รีบช่วยพ่อของฉัน! รีบช่วยพ่อของฉันเร็ว!”
“คุณลุง?” เย่เนี่ยนโม่เห็นท่าทางของเธอแล้วใจคอไม่ดี จึงรีบวิ่งตรงเข้าไปในตัวบ้าน
ฟ้าเริ่มสาง ชายหนุ่มในห้องผู้ป่วยนอนอย่างไม่สงบ หลายชั่วโมงของการล้างท้องได้ผ่านไป ในที่สุดก็สามารถช่วยเขาให้รอดพ้นจากความตาย
ติงยียีใช้ข้อศอกรองศีรษะไว้ ความตึงเครียดตลอดทั้งคืนในที่สุดก็ได้ผ่อนคลายลงในเวลานี้
เสื้อคลุมผืนหนึ่งคลุมเข้ามาที่ไหล่เธอเบาๆ เธอตกใจตื่นในทันใด อย่างแรกที่ทำคือมองไปยังเตียงห้องผู้ป่วยด้วยความตระหนก เห็นคุณพ่อนอนหลับอย่างสนิท ถึงได้ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกออมา
เย่เนี่ยนโม่มองใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอ เจ็บปวดข้างในสุดๆ “ไปพักผ่อนก่อนนะ ที่นี่ปล่อยเป็นหน้าที่ผมเอง”
ติงยียีส่ายหน้า ในใจรู้สึกผิดมาก “ขอโทษนะ วันนี้คุณยังต้องไปทำงาน คุณรีบไปพักผ่อนสักครู่เถอะ”
เย่เนี่ยนโม่ไม่ตอบ พาเธอไปที่โซฟา เอนร่างเธอลงบนโซฟานุ่มๆ มือใหญ่คู่หนึ่งค่อยๆนวดเข้าที่ไหล่ของเธอ
“ค่ายา?” ติงยียีเอ่ยปากด้วยความสงสัย แรงในการจับนวดบนไหล่ได้เพิ่มขึ้น เธอรู้ว่าดีตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้ จึงทำได้เพียงข่มความรู้สึกผิดที่มีต่อเย่เนี่ยนโม่เอาไว้
ติงยียีหยิบกระดาษที่คุณพ่อทับไว้ไต้ขวดยาออกมา เย่เนี่ยนเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วกล่าวเบาๆ :“ต้องการให้ผมออกไปก่อนไหม”
ติงยียีจับมือของเขาที่ต้องการจะดึงออก แล้วส่ายหน้า จากนั้นเปิดกระดาษออกแล้วอ่านเบาๆ :“ลูกพ่อ ตอนที่หนูได้อ่านจดหมายนี้พ่อคงไม่อยู่แล้ว เป็นเพราะพ่อไม่ดี ไม่สามารถดูแลลูกให้ดีได้ ซ้ำยังต้องมาพิการอีก ทำให้หนูต้องลำบากขนาดนั้น ต้องไปทำงานพาร์ทไทม์ ถ้าหากไม่ใช่ลูกชายของตระกูลเย่ พ่อยังคงไม่รู้ว่าหนูจะต้องทำงานหนักเพื่อใช้หนี้ พ่อคิดถึงแม่ของลูกแล้ว พ่อไปหาแม่ก่อนนะ เชื่อว่าถ้าไม่มีพ่อหนูจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่าอย่างแน่นอน”
อ่านมาถึงสุดท้าย น้ำเสียงติงยียีก็สะอึกสะอื้น ติงต้าเฉินที่อยู่บนเตียงมีการขยับราวกับรับรู้ สักพักก็เข้าสู้ภวังค์แห่งการหลับใหลต่อ
เย่เนี่ยนโม่เงียบไม่พูดไม่จา เพียงแค่กอดเธอไว้เงียบๆ ให้กำลังเธอโดยไร้เสียง จนกระทั่งเธอสงบลง
เย่ป๋อกับไห่โจ๋ซวนเดินเข้ามาจากประตู สองสามวันมานี้เย่ป๋อเข้าใจวิธีการขอความรักของคุณชาย จึงไม่รู้แปลกแต่อย่างใด แต่กลับไห่โจ๋ซวนที่เห็นเย่เนี่ยนโม่ช่วยติงยียีนวดไหล่อย่างไม่ขุ่นเคืองใดๆ ก็ยิ่งมั่นใจในความคิดของตัวเอง
เย่ป๋อนำชุดสูทชุดใหม่มาให้ เย่เนี่ยนโม่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องข้างๆ ในห้องจึงเหลือเพียงไห่โจ๋ซวนกับติงยียีเท่านั้น
“คุณลุงยังโอเคไหม ผมรู้จักคุณหมอที่เก่งๆ สามารถแนะนำคุณได้นะ” ไห่โจ๋ซวนนั่งลงข้างๆเธอ ปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ทั้งคู่ใกล้กันมาก ไห่โจ๋ซวนโอบไหล่เธอเบาๆ ติงยียีกระเถิบออกอย่างเงียบๆ แล้วหันหน้าไปมองท่าทางที่เป็นธรรมชาติของเขา แอบพูดในใจว่าตัวเองคงคิดมากไป
เย่เนี่ยนโม่เพื่อติงยียีแล้วได้ทิ้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงหนึ่งคืนหนึ่งวันเต็ม ต่อให้เขาอยากจะอยู่ข้างกายติงยียีมากแค่ไหน เขาก็ต้องเห็นแก่ส่วนรวมก่อน เมื่อยืนยันอาการของติงต้าเฉินกับคุณหมอแล้วถึงได้จากไป
การจากไปของเย่เนี่ยนโม่ ราวกับว่าได้พาความอบอุ่นของฤดูใบไม้ร่วงจากไปด้วย ติงยียีอดไม่ได้ที่จะขยับเสื้อกันหนาวให้แน่นขึ้น
จนกระทั่งตกดึก เย่เนี่ยนโม่ได้มาที่โรงพยาบาล ติงต้าเฉินก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา เขาค่อยๆหยิบกล่องอาหารออกจากถุง แล้วจัดวางเต็มโต๊ะ
ติงยียีไม่อยากให้เขาเป็นห่วง จึงแสร้งทำเป็นดมอาหารอย่างดีใจ เย่เนี่ยนโม่บี้ที่จมูกของเธอแล้วกล่าวด้วยความรักใคร่เอ็นดู :“ไปล้างมือก่อนแล้วค่อยมาทาน”
เธอพยักหน้าแล้วหันหลังออกจากประตูไป เย่เนี่ยนโม่ถอนหายใจแล้วกล่าว:“คุณลุงครับ คุณลุงทำแบบนี้ยิ่งไม่ใช่ทำให้เธอเป็นห่วงเหรอครับ”
ติงต้าเฉินลืมตาขึ้นมองเขา บทสนทนาของเย่เนี่ยนโม่กับติงยียีในตอนเช้าเขาได้ยินทั้งหมด เขาถอนหายใจแล้วกล่าวขึ้น :“สามารถดูแลเธอให้ดีๆได้ไหม ไม่ว่าจะเวลาไหน”
“ผมจะดูแลเธอให้ดีๆครับ แต่ว่าถ้าไม่มีคุณลุง เธอจะต้องไม่มีความสุขอย่างแน่นอน”
เย่เนี่ยนโม่เกลี้ยกล่อมอย่างใจเย็น เมื่อเห็นแววตาความไม่อยากจาก ความรู้สึกผิดในแววตาของติงต้าเฉิน เขาถึงได้เบาใจลง
นอกประตู ติงยียียืนอยู่เงียบๆ ฟังคุณพ่อสนทนากับเย่เนี่ยนโม่ แล้วตบหน้าของตัวเอง พยายามทำสีหน้าของตัวเองให้เป็นปกติที่สุด คิดอยากจะเข้าไป แต่โทรศัพท์ได้ดังขึ้น เธอจึงรับรับ :“ตอนนี้เป็นวันที่สามแล้วนะ นี่เธอจะคืนเงินได้หรือยัง”
อ้าวเสว่พลางทำสปาพลางพูดเย้ยหยัน สวีเห้าเซิงตามใจเธอสุดๆ ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยการกระทำของเธอ แต่แค่เธอออดอ้อนออเซาะ เขาก็ยอมจำนนอย่างเชื่อฟัง
ติงยียีจึงเดินมาที่ธนาคารข้างโรงพยาบาล เงินเก็บของเธอทั้งหมดรวมกันแล้วก็มีแค่หมื่นกว่าหยวน เห็นทีแล้วคงได้แค่ไหนก็แค่นั้นไปก่อน
พนักงานสาวของธนาคารถามเธออย่างสุภาพ “ขออนุญาตถามว่าจะเบิกถอนออกมาทั้งหมดหรือเปล่าคะ”
ติงยียีพยักหน้า พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ของธนาคารกล่าวประโยคหนึ่งกับพนักงานข้างๆ แล้วบอกให้ติงยียีรออยู่ที่เดิมสักครู่ จากนั้นก็ลุกออกจากที่นั่งไป สักพักก็มีชายหนุ่มวิ่งเบาๆตรงมาด้านหน้าเธอ
“คุณผู้หญิงท่านนี้ สวัสดีครับ คือแบบนี้นะครับ ยอดเงินที่คุณจะเบิกถอนค่อนข้างสูง ทางพวกเรามีเพียงสาขาเดียว จึงอยากรบกวนท่านให้รอสักครู่ รอให้ทางพวกเราโยกย้ายเงินจากธนาคารอื่นมาก่อน”
ติงยียีฟังด้วยความมึนงง ตัวเองถอนแค่หมื่นเดียว หรือแม้แต่หมื่นเดียวธนาคารก็ไม่มี
เธอประหลาดใจที่ถูกบริการอย่างดีและถูกผู้จัดการธนาคารเชิญให้ไปที่ห้องวีไอพี
สักพัก พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ก็นำกระเป๋าหนังงูเข้ามาแล้วเปิดออก แล้วทำการนับเงินที่เป็นมัดๆต่อหน้าเธอ
ติงยียีมองธนบัตรเงินหยวนที่ยิ่งกองยิ่งสูงด้วยความมึนงง จึงรีบเอ่ยปากขึ้น :“พวกคุณเข้าใจอะไรกันผิดหรือเปล่าคะ ฉันมีเงินแค่หนึ่งหมื่นหยวนเองค่ะ บัญชีธนาคารของฉันมีแค่หนึ่งหมื่นหยวนเท่านั้น”
พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ต่างสบตากัน ผู้จัดการจึงกล่าวถามขึ้น :“ขออนุญาตถามว่าท่านคือคุณติงยียีใช่ไหมครับ”
ติงยียีพยักหน้า ผู้จัดการก็หยิบบัตรประจำตัวประชาชนของเธอออกมาเทียบหน้าดู สุดท้ายมั่นใจแล้วกล่าวขึ้น:“สวัสดีครับเมื่อสักครู่ท่านบอกว่าจะเบิกถอนเงินออกทั้งหมด และเงินในบัญชีของท่านมีห้าแสนหยวน ไม่ผิดอย่างแน่นอนครับ”
ห้าแสนหยวน? เธอมีห้าแสนหยวนเสียที่ไหน กำลังอยากปฏิเสธ สมองของเธอก็ผุดร่างเย่เนี่ยนโม่ขึ้นทันใด ชายหนุ่มที่ต้องการให้ตัวเองได้พึ่งพิงคนนั้น
ในร้านกาแฟ สวีเห้าเซิงจ้องมองติงยียีอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ความตั้งใจเดิมของเขาคือต้องการช่วยเหลือหญิงสาวคนดีคนนี้ คิดไม่ถึงว่าทำไม่ได้แล้วยังสร้างความเดือดร้อนให้กับเธออีก
“คุณสวีคะ เงินที่ติดค้างไว้ทั้งหมดอยู่ตรงนี้แล้วนะคะ ท่านลองนับดู” ติงยียีเพียงแค่อยากจะสะสางเรื่องนี้ให้เสร็จเร็วๆแล้วกลับไปหาพ่อ
“คุณติง เรื่องนี้เป็นเพราะผม ผมแค่ต้องการอยากจะช่วยเหลือคุณ” สวีเห้าเซิงเอ่ยปากด้วยความลำบากใจ เขาไม่สามารถที่จะทำร้ายเด็กผู้หญิงที่ดีคนนี้ได้
ติงยียีส่ายหน้า ยิ้มแล้วกล่าว:“เรื่องนี้เดิมทีก็ไม่เกี่ยวกับท่าน ท่านไม่ให้ความช่วยเหลือก็เป็นเรื่องสัจธรรม ท่านให้ความช่วยเหลือคือคุณธรรม ไม่ว่าจะอย่างไรฉันก็ต้องขอบคุณท่านเป็นอย่างสูง”
เมื่อรอติงยียีจากไปแล้ว อ้าวเสว่ที่อยู่ไม่ไกลก็ได้เดินออกมาแล้วมานั่งตรงที่นั่งที่ติงยียีนั่งเมื่อสักครู่
เธอเปิดกระเป๋าดู ในกระเป๋ามีธนบัตรที่วางเป็นชั้นๆอย่างเรียบร้อย เธอจึงกล่าวด้วยความสงสัย :“เงินเยอะขนาดนี้ เธอไปรวบรวมมาได้อย่างไร”
สวีเห้าเซิงรู้สึกเจ็บปวดใจ อดไม่ได้ที่จะกล่าวสั่งสอนขึ้น “เสี่ยวเสว่ เป็นคนต้องรู้จักปล่อยชีวิตผู้อื่นบ้าง อย่าคิดแต่จะฆ่าชีวิตผู้อื่น”
อ้าวเสว่จ้องมองเธอ แล้วกล่าวอย่างเย็นชา:“ขออภัยฉันไม่มีคุณพ่อคอยสั่งสอน จึงไม่รู้จักว่าอะไรคือความเมตตา!”
สวีเห้าเซิงหมดคำพูด ในใจรู้สึกทั้งเศร้าทั้งโกรธ โกรธที่ทำไมซือซือถึงสอนลูกตัวเองให้มีคุณธรรมแบบนี้ เมื่อส่งอ้าวเสว่กลับบ้านไปแล้ว ก็ได้รีบไปหาซือซือ
ในบาร์ ซือซือดื่มด่ำกับการดื่มเหล้าอย่างมีความสุข ตรงกันข้ามกับสวีเห้าเซิงที่โมโหโทโสอย่างเห็นได้ชัด สวีเห้าเซิงเห็นเธอยกแก้วเหล้าดื่มแล้วดื่มอีก ทนดูต่อไม่ได้ ถึงแย่งแก้วเหล้ามาแล้วกล่าวขึ้น :“คุณจะดื่มจนร่างกายพังหมดถึงจะพอใจใช่ไหม!”
ซือซือคว้าแก้วมาทันใด แล้วยกดื่มหมดในอึกเดียว ยิ้มแล้วกล่าวขึ้น :“ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนเป็นห่วงฉันอยู่แล้ว วันนี้คุณมาก็เพื่อจะตำหนิฉันไม่ใช่เหรอ”
สวีเห้าเซิงเห็นเธอที่โดดเดี่ยวก็ไม่อาจจะตำหนิลงได้ แต่ก็ได้กล่าวตำหนิออกมา :“คุณไม่ใด้ให้ความสนใจในการอบรมสั่งสอนอ้าวเสว่ตอนเด็กๆอย่างจริงจัง คุณดูเธอตอนนี้สิอย่างกับอะไรก็ไม่รู้! ใจแคบชอบเปรียบเทียบ หนำซ้ำยังสุดโต่งอีก”
ซือซือที่เริ่มมีอาการมึนเมาเล็กน้อย ได้ยินดังนั้นจึงยิ้มแล้วกล่าวขึ้น:“แล้วไม่ดีอย่างไร แบบนี้สิถึงไม่ถูกกระทำ! ทำไมฉันต้องสั่งสอนเธอ นั่นไม่ใช่ลูกของฉันคนเดียวสักหน่อย”
“ดื้อด้าน!” สวีเห้าเซิงกล่าวอย่างโมโห ลุกขึ้นหันหลังจะจากไป คุยไม่รู้เรื่องกับผู้หญิงอย่างซือซือ!
ซือซือจมองเขาที่โมโหแล้วหันหลัง ในใจรู้สึกสะใจมากๆ อยากเห็นท่าทางของเขาที่โมโหมากกว่านี้ เธอหัวเราะแล้วพูดตามหลังของเขาว่า:“ความจริงแล้วคุณยังไม่รู้ใช่ไหมว่าคุณมีลูกสาวอีกหนึ่งคน”
“คุณพูดว่าอะไรนะ!” สวีเห้าเซิงกำลังจะจากไปได้เดินกลับมา จากนั้นมองเธออย่างไม่เชื่อสายตา ผู้หญิงคนนี้ลึกๆแล้วยังมีเรื่องอะไรปิดบังเขาอีก! ซือซือกล่าวอย่างสะใจ:“คุณยังมีลูกสาวอีกคน แต่ว่าคลอดออกมาก็เสียชีวิตแล้ว”
สวีเห้าเซิงมองใบหน้าเธอที่พูดแบบนี้ออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สา หัวใจเจ็บปวดรวดร้าว ความคิดสับสนวุ่นวาย สักพักถึงได้รวบรวมคำพูดใหม่ขึ้น เขากล่าว:“ไม่รู้จริงว่าเด็กเหล่านั้นชาติก่อนทำกรรมอะไรไว้ ชาตินี้ถึงได้เกิดมาเป็นลูกของคุณ”
ซือซือหัวเราะ หรี่ตาลง ปกปิดอารมณ์ในแววตาเอาไว้ ใช่สิ เด็กๆไม่รู้ไปทำกรรมอะไรไว้ถึงได้มีแม่แบบนี้ ลูกของเธอที่เกิดจากเย่เย่เชินหลินก็เสียชีวิตเพราะการแก้แค้นของเธอ ยังมีอ้าวเสว่กับเด็กคนนั้นที่เพิ่งลืมตาก็ต้องมาจากไป
ในหัวสมองเธอผุดภาพต่างๆมากมาย ในโรงพยาบาลคุณหมอบอกกับเธอว่าเพราะการดื่มสุราช่วงระหว่างที่ตั้งครรภ์ ทำให้ลูกที่เกิดมามีภาวะหัวใจล้มเหลวจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต วินาทีนั้นตัวเองแทบจะเป็นบ้า เธอทนแบกบาดแผลไว้ไปขอร้องให้คุณหมอช่วยเหลือเด็กคนนั้น แต่กลับไม่เป็นผล คุณหมอมองเธออย่างเย็นชาจากนั้นก็จากไป
“คุณยังมีอะไรที่จะพูดอีก” น้ำเสียงที่โมโหของสวีเห้าเซิงได้ขัดจังหวะความคิดของเธอ เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้งอย่างแน่วนิ่ง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “ใช่ ถ้าหากจะโทษก็โทษเด็กเหล่านั้นที่หาแม่ไม่เป็น เออ อีกอย่างยังหาพ่อไม่เป็นอีก ไม่อย่างนั้นทำไมจะต้องเลือกคุณกับฉันด้วย!”
“ดื้อด้าน!” สวีเห้าเซิงรู้สึกว่าตัวเองวันนี้มาหาเธอนั้นเป็นเรื่องที่ผิดพลาดมาก
แล้วหันหลังจากไปโดยไม่หันกลับมามองเธออีก

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset