สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1470 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1370

ที่หน้าประตูมีชายหนุ่มคนหนึ่งจ้องมองซือซืออย่างไม่ละสายตา แววตาเฉียบคม ซ่อนด้วยความอยากค้นหา สวีเห้าเซิงเดินมาถึงที่หน้าประตูแล้วเห็นถึงแววตาของชายหนุ่มคนนั้น หัวใจก็กระตุกขึ้น จึงยังไม่จากไป หันหลังแล้วเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์บาร์ คว้ามือของซือซือแล้วมุ่งเดินออกไปด้านนอก ชายหนุ่มคนนั้นดูเหมือนกับคนไม่ควรจะที่ไปมีเรื่องด้วย เขาไม่อาจปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้อยู่ที่นี่คนเดียว
ซือซือนึกไม่ถึงว่าเขาไปแล้วจะกลับมาอีก ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกเขาลากดึง เมื่อผ่านหน้าประตู แววตาที่ชายหนุ่มมองสำรวจเธอก็ยิ่งไม่เกรงใจ ซือซือรู้สึกได้จึงหันหลังมา ฉับพลันสีหน้าก็แปรเปลี่ยนแย่ดูไม่ได้ทันที แล้วรีบก้มหน้าตามสวีเห้าเซิงจากไป
Bakerมองทั้งคู่ที่จากไปด้วยความสงสัย เพราะเขาจำได้ว่าสวีเห้าเซิงคือเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ดังนั้นจึงได้สังเกตหญิงสาวที่อยู่ข้างกายของเขา เมื่อมองหญิงสาวคนนั้นก็รู้สึกว่าคล้ายกับผู้หญิงที่ชื่อซือซือที่ถูกไฟคลอกเสียชีวิตที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเมื่อหลายปีก่อน
เสียงที่ดังจากอีกฝั่งดึงดูดความสนใจของเขา เขาจึงเริ่มจ้องมองอย่างจดจ่อ จุดประสงค์หลักของการมาวันนี้คือการหาคนร้ายที่ก่อเหตุชนคุณพ่อของติงยียี ชายหนุ่มที่รับสารภาพผิดก่อนนี้ดูน่าสงสัยมากขึ้นสำหรับเขา แต่ถ้าอีกฝ่ายยังคงยืนกรานว่าตัวเองคือผู้ก่อเหตุ อย่างนั้นเขาเองก็คงจนปัญญา
ยังโชคดีที่สวรรค์มีตาเห็นใจคนมีมานะ ตอนที่ราชาอย่างอันหรันไปเดินพรมแดงแล้วถูกแอบถ่ายในขณะที่เดินอยู่ระเบียงทางเดินของโรงแรม ถูกนำมาพาดหัวข่าวตามหน้าเว็บหลัก เขาเห็นใบหน้าข้างๆของคนที่เดินผ่านกายอันหรันในหนังสือพิมพ์ เห็นได้ชัดว่าเป็นจางถังที่ตัวเองจับตัวในตอนนั้น
จางถังยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองนั้นถูกสงสัยแล้ว จึงทำการดื่มเหล้าอย่างไร้กังวล จากนั้นกล่าวกับเหยนหมิงเย้าอย่างไม่พอใจ:“นายเป็นผู้ชายหรือป่าววะ! จิบเหล้าทีละคำๆ หมดแก้วสิ!”
เหยนหมิงเย้ามองเขาแล้วยิ้ม ลูกผู้มากลากดีแบบนี้ที่เข้าหาเขาตอนนั้นก็เพื่ออยากสนุกเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะเป็นเพื่อนกับเขาได้หลายปีขนาดนี้ แต่ว่าเป็นแค่เพื่อนจริงๆเหรอ ไม่น่าจะใช่มั้ง
แววตาของเขากวาดมองไปยังใบหน้าของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆพวกเขาสองคน นั่นน่าจะเป็นตำรวจมั้ง เขาเคยเห็นหนังสือพิมพ์รายงานเกี่ยวกับเขา ตอนนั้นเพื่อนของคุณแม่ ชายหนุ่มที่ชื่อไห่ลี่หมินถูกฆาตกรรม คุณแม่ยังเคยถือหนังสือพิมพ์แล้วร้องไห้ ในหนังสือพิมพ์ตำรวจที่รับผิดชอบคดีนี้เหมือนจะว่าเป็นผู้ชายคนเมื่อสักครู่
จางถังมองเหยนหมิงเย้าอย่างไม่พอใจที่จิตใจล่องลอยไปไกล จึงดื่มหมดแก้วในอึกเดียวแล้วกล่าว :“ช่วงนี้ผมมีเรื่องว่ะ!”
“เหรอ เรื่องอะไร!” ในที่สุดเหยนหมิงเย้าก็ดึงสายตากลับมาที่ตัวของเขา จางถังกระอึกกระอักครู่หนึ่งถึงได้กล่าวขึ้น: “ผมชนคนคนหนึ่ง”
เหยนหมิงเย้าเห็นตำรวจที่อยู่ข้างๆเลิกคิ้ว มือซ้ายค่อยๆล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบเครื่องอัดเสียงเล็กๆออกมาวางไว้บนโต๊ะ เขายิ้มแล้วกล่าว:“นายแน่ใจเหรอว่าพูดที่นี่อาถัง”
“มีอะไรไม่สามารถพูดได้ล่ะ! ขอเพียงแค่มีเงิน ก็สามารถหาคนมารับโทษแทนได้ และผมก็หาคนที่รับโทษแทนได้แล้วด้วย เพียงแต่ว่าทางฝั่งศาลบอกว่าหลักฐานไม่เพียงพอ น่ารำคาญชะมัด!”
เหยนหมิงเย้ายิ้มราวกับจิ้งจอก ในเมื่อเขาเตือนด้วยความหวังดีแล้วจางถังไม่ยอมฟัง อย่างนั้นตัวเองก็จนปัญญา
จางถังยังคงพูดพล่ามอยู่ตรงนั้น “ยังมีอ้าวเสว่คนนั้นอีก ต่อให้ผมถูกจับผมก็จะลากเธอลงนรกด้วย อ้าวเฮ้ย เหยนหมิงเย้านี่นายทำอะไร!”
จางถังลุกขึ้นด้วยความโมโห แล้วทำการสะบัดเสื้อของตัวเองที่เต็มไปด้วยเบียร์ จากนั้นจ้องมองเหยนหมิงเย้าด้วยความโกรธ
เหยนหมิงเย้าวางแก้วเหล้าลง ส่งสัญญาณให้เขามองไปข้างๆ จางถังเองก็ไม่ได้โง่ แวบแรกก็เห็นคนที่นั่งอยู่ข้างๆนั้นเป็นใคร จึงรีบขอคุณเหยนหมิงเย้ายกใหญ่ทันที เหยนหมิงเย้าไม่มีอารมณ์รับคำขอบคุณจากเขา ในหัวสมองมีแต่คำถาม ทำไมอ้าวเสว่ถึงได้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เมื่อแยกย้ายกับจางถังแล้ว เขาจึงรีบไปหาอ้าวเสว่ เขารู้ว่าเธออยู่ที่ไหน ที่ห้องสำนักงาน แสงไฟสลัวทำให้เงาของคนยืดยาวขึ้น เหยนหมิงเย้ากอดอกยืนพิงอยู่ที่ประตู เห็นอ้าวเสว่ฟุบหลับอยู่บนโต๊ะอย่างหลับใหล ในมือยังถือปากกาไว้
เขาเดินเข้าไปใกล้ อ้าวเสว่กลับตกใจเหมือนแมวน้อยที่สะดุ้งเด้งขึ้นทันใด เมื่อเห็นว่าเป็นเขาก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ
“ทำไมไม่กลับบ้าน” เหยนหมิงเย้ามองกล่องข้าวที่เรียงกันเป็นชั้นๆอยู่ข้างถังขยะแล้วกล่าว
อ้าวเสว่ยักไหล่แล้วจดจ่อมองไปยังบนโต๊ะอีกครั้ง พลางเขียนพลางกล่าว :“กลับบ้านไปถึงอย่างไรก็อยู่คนเดียว สู้อยู่ที่บริษัทยังดีกว่า”
“อีกไม่นานก็ไม่ต้องอยู่คนเดียวแล้ว” เหยนหมิงเย้าพูดอย่างมีเลศนัย อ้าวเสว่เงยหน้าขึ้นมองเขา จากนั้นเขากล่าวได้ต่อ: “คนที่สำนักงานตำรวจมีไม่น้อยไม่ใช่เหรอ”
“ทำไมถึงพูดแบบนี้” อ้าวเสว่ขมวดคิ้วขึ้น ในใจรู้สึกรางๆว่าเหยนหมิงเย้ากำลังจะบอกอะไรบางอย่าง หรือเขารู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องนิทรรศการเมื่อสามปีที่ก่อน
“เรื่องที่จางถังชนคนนั้นคุณมีส่วนเกี่ยวข้องหรือเปล่า” เหยนหมิงเย้าเห็นท่าทางของเธอชะงักค้างขึ้นในเสี้ยววินาที จึงคิดว่าตัวเองเดาถูกแล้ว
จางถังบอกว่าต่อให้ตัวเองจะถูกจับก็จะลากอ้าวเสว่ไปด้วย อย่างนั้นระหว่างทั้งสองคนต้องมีการติดต่อกันอย่างแน่นอน แต่บอกว่าติดต่อ ก็น่าจะมีเพียงเรื่องอุบัติเหตุรถยนต์ที่จางถังพูดถึงแค่นั้นมั้ง
อ้าวเสว่ถอนหายใจยาว เธอคิดไม่ถึงว่าแม้แต่เรื่องแบบนี้จางถังจะพูดกับเหยนหมิงเย้า ครั้งนี้บอกเพียงว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องอุบัติเหตุรถยนต์ ครั้งหน้าถ้าหากว่าพูดเรื่องเมื่อสามปีก่อน อย่างนั้นเธอจะต้องตายแน่ๆ ไม่ได้การแล้ว จะต้องคิดหาวิธีจัดการ
“คุณเป็นอะไร พูดออกมา ผมจะช่วยคุณเอง” เหยนหมิงเย้ามองใบหน้าที่เคร่งขรึมของเธอ หัวใจกระตุกวูบขึ้น หรือว่าวันที่เกิดเหตุอ้าวเสว่นั้นอยู่กับจางถัง
อ้าวเสว่ดึงสติคืนมาแล้วเล่าเรื่องที่จางถังมาหาตัวเองแล้วต้องการให้ตัวเองเป็นพยานเท็จอย่างคร่าวๆ
เหยนหมิงเย้ายิ่งฟังก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่น ให้เป็นพยานเท็จก็ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ ถ้าหากว่าอ้าวเสว่ถูกจับ อย่างนั้น ชื่อเสียงในอุตสาหกรรมเครื่องประดับก็คงจะต้องดับลง
เขาครุ่นคิดอยู่สักพักจึงกล่าวขึ้น “ถ้าหากว่าวันใดวันหนึ่งเรื่องถูกเปิดโปง คุณก็บอกไปเลยว่าผมเป็นคนบังคับคุณ ผมเป็นเพื่อนของจางถัง คุณพูดแบบนี้คนอื่นไม่มีทางสงสัย”
อ้าวเสว่ตกใจ จึงตัดสินใจกล่าวขึ้น :“ทำไมถึงช่วยฉันล่ะ”
เหยนหมิงเย้ากลับสู่ท่าทางที่เอ้อระเหยลอยชายแล้วถามกลับขึ้น :“แล้วคุณคิดว่าเพราะอะไรล่ะ” อ้าวเสว่เงียบ เหยนหมิงเย้าเองก็ไม่ได้บังคับเธอ แต่ในใจกลับว่างเปล่า ไม่อยากเห็นเธอเงียบ เขาจึงเลือกที่จะจากไป
มองแผ่นหลังของเขาแล้ว อ้าวเสว่เอนไปด้านหลัง แผ่นหลังเอนพิงเก้าอี้ที่นุ่มนิ่ม ทำให้เธอมีความรู้สึกปลอดภัย หัวใจของเธอเกิดความลังเล แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาหมายเลขที่ท่องจำขึ้นใจหมื่นพันครั้ง โทรศัพท์โทรติด :
“ เนี่ยนโม่ คุณยุ่งอยู่หรือเปล่า”
“อืม”
“ฉันคิดถึงคุณจังเลย ตอนนี้ฉันอยู่ที่บริษัท คุณรู้ไหมว่าอาหารวันนี้ไม่อร่อยเลย เอ่อคุณยุ่งอยู่เหรอ”
“อืม”
“ฉันไม่สน พรุ่งนี้คุณมาอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหม ลุงสวีก็มาด้วยนะ พวกเราไปชมละครเพลงด้วยกันนะ”
บทสนทนาของทั้งคู่ทั้งทื่อและแข็งกระด้าง อ้าวเสว่แทบจะทนต่อไม่ไหว ถึงแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็น ก็ยังคงทำหน้าแป้นยกยิ้มขึ้นออดอ้อนออเซาะต่อไป “อย่างนั้นพรุ่งนี้ไปหาหมอเป็นเพื่อนฉันจะได้ไหม คุณก็อยากจะให้ฉันดีขึ้นเร็วๆไม่ใช่เหรอ”
เสียงโทรศัพท์ยังคงเงียบ สักพักเย่เนี่ยนโม่ถึงได้กล่าวขึ้น :“ได้ พรุ่งนี้ผมไปรับคุณ”
เย่เนี่ยนโม่วางสายโทรศัพท์ลง ติงยียีรีบละสายตาไป ในใจขมขื่น ช่วงเวลาอันหอมหวานถึงแม้ว่าจะเพียงสั้นๆ แต่เธอกลับลืมไปว่าตัวนั้นเป็นมือที่สาม จนกระทั่งความฝันสลาย พรุ่งนี้เย่เนี่ยนโม่จะต้องไปอยู่เป็นเพื่อนข้างกายผู้หญิงอีกคน แต่ว่าเธอกลับไม่สามารถพูดอะไรได้ จากไปก็ไม่ได้ ทำได้เพียงอดทน
“กำลังคิดอะไรอยู่” เย่เนี่ยนโม่โอบเธอเข้ามาในอ้อมกอด ติงยียีส่ายหน้า กล่าวเบาๆ: “ไม่เป็นไร เดิมทีคุณก็เป็นของเธออยู่แล้ว เป็นเพราะฉันไม่ดีเอง”
“ติงยียี!” เย่เนี่ยนโม่ปล่อยเธอออก แล้วจับไหล่ของเธอ ก้มหน้าผสานตากับเธอ แล้วพูดอย่างตั้งใจ: “ให้เวลาผมอีกหน่อยนะ ผมจะเปลี่ยนสถานการณ์นี้ในไม่ช้า”
คำสัญญาของเขาผสมไปด้วยน้ำผึ้งกับสารหนู ติงยียีพบว่าตัวเองไม่สามารถปฏิเสธได้ ความอ่อนโยนของเขาสำคัญกับตัวเองมาก ต่อให้เป็นมือที่สามก็ตาม โทรศัพท์ของเย่เนี่ยนโม่ดังขึ้นอีกครั้ง เธอจึงรีบปิดปากเงียบ
ฟังเสียงพูดคุยของเย่เนี่ยนโม่ เธอมองใบหน้าข้างๆของเขาอย่างเงียบๆ เมื่อเป็นมือที่สาม แม้แต่อีกฝ่ายคุยโทรศัพท์แม้แต่สิทธิ์ในการพูดก็ไม่มี ช่างน่าอัปยศสิ้นดี
ไม่อยากจะคิดอะไรไปมากกว่านี้แล้ว เธอหันหลังเพื่อไปทำความสะอาดบ้าน คุณพ่อใกล้จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว นอกประตูมีเสียงแตรดังขึ้นเป็นระยะๆ เธอหันหน้าไปมอง หน้าบ้านตัวเองมีรถบรรทุกขนาดใหญ่มาจอดไว้ ชายหนุ่มหัวเกรียนคนหนึ่งสวมชุดสูทลงมาจากห้องคนขับ
เย่เนี่ยนโม่ที่คุยโทรศัพท์เสร็จ ยิ้มแล้วดึงมือของเธอเดินลงตึกจากไป ในลานบ้าน เย่ป๋อให้คนงานรีบขนสว่านกับปูนลงจากรถบรรทุก เมื่อเห็นทั้งคู่ เขาก็โน้มตัวลงเล็กน้อย
“คุณชาย”
“เกิดอะไรขึ้น” ติงยียีมองเขาด้วยความประหลาดใจ เย่เนี่ยนโม่ยิ้ม ชี้ไปที่บันใดลานหน้าบ้าน คนงานรีบหยิบค้อนเริ่มทำการทุบทันที
ติงยียีจึงเข้าใจ เขาต้องการเปลี่ยนบ้านบริเวณให้เหมาะสมกับคนพิการพักอาศัย เรื่องที่ตัวเองคิดไม่ถึงเขากลับคิดได้
เธอนึกว่าเย่เนี่ยนโม่จะหาทีมคนงานมาทำเพียงอย่างเดียว จนกระทั่งเย่เนี่ยนโม่ถอดชุดสูทนอกออกแล้วคลุมไว้บนบ่าของเธอ พับแขนเสื้อตัวเองขึ้น เธอถึงเข้าใจในทันใด เขาต้องการจะลงมือช่วยด้วยตัวเองเหรอ
เย่ป๋อเองก็พอจะดูออกว่าคุณชายต้องการจะทำอะไร จึงรีบเดินมาข้างหน้า “คุณชาย การก่อสร้างมีฝุ่นมาก ให้ผมลงมือทำเองนะครับ ที่ปากซอยมีร้านกาแฟร้านหนึ่ง ท่านกับคุณติงสามารถไปพักผ่อนที่นั่นสักครู่ ที่นี่มีผมดูแล”
เย่เนี่ยนโม่ส่ายหน้า ก้มตัวลงไปยกปูนที่คนงานได้ผสมเสร็จแล้วมุ่งเดินไปที่บันได ติงยียีรีบเดินตามเขาอยู่ด้านหลัง
“ทำไมถึงต้องทำแบบนี้” ติงยียีเห็นเขาวุ่นอยู่กับการทำงาน อดไม่ได้ที่จะถามออกมา
เย่เนี่ยนโม่คอยเรียนรู้ดูจากพนักงานก่อสร้างที่อยู่ข้างๆนำปูนเทลงช่องบันไดให้เรียบ จากนั้นกล่าวขึ้น :“อะไรทำไมนะเหรอ ก็แค่อยากจะทำบางอย่างเพื่อคนที่รักเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ”
ถูกคำพูดของเขาทำให้ตกใจ ติงยียียืนอยู่ที่เดิม มองดูเขาตื่นตระหนกที่มือไปแตะโดนปูนที่ถูกเทไว้เรียบร้อยแล้ว ปูนที่เปียกแฉะจึงมีฝ่ามือประทับไว้ เขารีบร้อนอยากที่จะไปเติม
“เดี๋ยว!” ติงยียียิ้มแล้วเดินไปข้างหน้า จากนั้นประทับฝ่ามือตัวเองลงบนปูนฝ่ามือที่ประทับไว้อยู่แล้ว
คนทั้งกลุ่มต่างวุ่นอยู่กับทำงายอยู่สักพัก เย่ป๋อได้ซื้อเครื่องดื่มมาแจกจ่ายให้กับทุกคน เย่เนี่ยนโม่หยิบเครื่องดื่มที่ติงยียีดื่มแล้วไปดื่มจนหมด ติงยียีจ้องมองเขาด้วยใบหน้าที่แดงเล็กน้อย เห็นเขาหันหน้ามาเธอก็รีบหันหน้าหลบทันที ใบหน้าแดงก่ำ คลาดกับแววตาที่อ่อนโยนของเย่เนี่ยนโม่ ที่เย่ป๋อเห็นถึงความรัก

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset