สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1471 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่1371

ในช่วงบ่าย เย่เนี่ยน​โม่​ไม่ได้ทำแผ่นวางเท้าไม้วางไว้บนรถเข็นให้ติงต้าเฉินด้วยตัวเอง เศษไม้ทิ่มนิ้วชี้ของเขา จนเลือดไหลริน เย่ป๋อรีบหยิบปลาสเตอร์ที่เตรียมพร้อมไว้ตลอดเวลาออกมา แต่อีกคนกลับทำทุกอย่างเร็วกว่าเขา
ติงยียีซึ่งอยู่เคียงข้างเย่เนี่ยนโม่ตลอดเวลาเห็นว่าเลือดของเขาไหลไม่หยุด จึงเอานิ้วชี้ของเขาเข้าไปอมในปากทันที
เย่เนี่ยนโม่ตกตะลึง พอเห็นนิ้วชี้ของเขาที่ถูกอมอยู่ในริมฝีปากแดงเล็กๆ ของเธอ หัวใจของเขาเต้นรัว และใบหูของเขาเริ่มแดง
ติงยียีที่กำลังจับนิ้วของเขาอมอยู่ตระหนักได้ว่าการกระทำของเธอทำให้ทุกคนตกตะลึงมาก จึงรีบคายนิ้วของเขาออกมา เย่เนี่ยนโม่ ดึงนิ้วมือที่เต็มไปด้วยน้ำลายกลับมา / นิ้วมือเต็มไปด้วยน้ำลาย เธอรีบหันหลังกลับแล้วยื่นกระดาษทิชชูให้กับเขา ก่อนจะพูดอย่างรู้สึกผิด “ฉันไม่ได้ตั้งใจนะคะ ตอนฉันยังเด็กพ่อของฉันทำแบบนี้ตอนฉันได้รับบาดเจ็บค่ะ”
เย่เนี่ยนโม่มองหน้าเธอที่กำลังก้มหน้างุด ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดเข้ามาทางหน้าต่าง พัดผมหน้าม้าที่มีเหงื่อออก สักพัก เขารู้สึกว่าเธอสวยมาก จึงขยับเข้าไปใกล้ ภายใต้สายตาที่ประหลาดใจของอีกฝ่ายถึงลมหายใจรินลดหน้ากับอีกฝ่าย
เย่ป๋อมองไปที่คนสองคนที่อยู่ภายใต้แสงสายัณห์ยามตะวันเลือนลับจากฟ้า กวาดสายตามองบาดแผลที่มือของคุณชายอย่างใจเย็น และเก็บปลาสเตอร์ปิดแผลกลับเข้าไปในกล่องยาตามเดิม
ช่วงอาหารเย็น ติงยียีเขี่ยข้าวในชามไปมา สายตาของเธอมองไปที่จานปลาที่อยู่ไม่ไกลจากเธอ กำลังลังเลว่าจะกินมันหรือไม่กินดี เธอเคยถูกก้างปลาติดคอตอนที่เธอยังเด็ก ทำให้เธอกลัวที่จะกินปลาเมนูโปรดของเธอไปเลย
ตะเกียบคู่หนึ่งเอื้อมไปในจานปลา แล้วคีบเนื้อปลาชิ้นใหญ่ขึ้นมา หลังจากนั้น เย่เนี่ยนโม่ก็วางเนื้อปลาที่คีบมาลงในชามของเธอแล้วลูบที่ศรีษะของเธอก่อนจะกินข้าวต่อ
ติงยียีก้มหน้าลง รอยยิ้มที่มุมปากของเธอแทบจะซ่อนไว้ไม่อยู่ เย่ป๋อที่เฝ้าดูทั้งสองคน อยู่ด้านข้างเริ่มสงสัยในคำพูดของลุงจางขึ้นมาเป็นครั้งแรก
ตอนที่เขากลับมาที่เมืองตงเจียงครั้งแรก ลุงจางที่อยู่ข้างกายนายท่านเย่พูดกับตัวเองว่าคุณชายเป็นคนที่เคร่งขรึม ไม่ชอบยิ้ม ดูจากตอนนี้เขาคิดว่าลุงจางน่าจะพูดเกินจริงไปจริงๆ
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ดวงจันทร์ที่ใกล้จะถึงสิบห้าค่ำก็เริ่มเต็มดวงแล้ว มีร่างสองร่างยืนอยู่ที่ระเบียง มือนุ่มนิ่มของติงยียีกำลังนวดไหล่ของเย่เนี่ยนโม่ รับรู้ได้ถึงสัมผัสอันแข็งแกร่งผ่านฝ่ามือของเธอ ในใจของเธออดคิดไม่ได้ พรุ่งนี้เขาคงไม่อยู่กับตนเองได้สินะ
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่” เย่เนี่ยนโม่กุมมือเธอเบาๆ ติงยียีส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว เธอไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นความเหงาที่เธอมี แม้แต่
เขาก็ให้เห็นไม่ได้
ทั้งสองอยู่ด้วยกันทั้งคืน ในช่วงเช้า ติงยียีลืมตาตื่น แล้วขยับตัวที่ปวดเมื่อยเล็กน้อย อ้อมแขนที่กอดเธอไว้ยิ่งกอดแน่นขึ้น
เธอนอนเงียบอยู่สักพัก ก่อนจะมองชุดคลุมใส่นอนแบบเดียวกันกับตัวเอง เธอก็รู้สึกมีความสุขเหลือล้นขึ้นมาทันที เสียงลมหายใจที่ลดอยู่เหนือศีรษะของเธอ ทำให้เธอพยายามเงยหน้าขึ้น อยากจะเห็นหน้าตาของเขาให้ชัดเจน
คางที่แน่วแน่ของเย่เนี่ยนโม่เป็นเริ่มมีเคราขึ้นเล็กน้อย เธอพยายามเงยหน้าขึ้นมอง จึงสบตากับเขาที่มองลงมาที่เธอพอดี
ทันทีที่เย่เนี่ยนโม่ตื่นขึ้นมา เขาก็พยายามค้นหาบุคคลที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา ทันทีที่เขาสบตากัน เขาก็รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจที่เต้นแรงอย่างอธิบายไม่ถูก เหมือนดินแห้งแล้งในฤดูใบไม้ร่วงภายนอกหน้าต่างมีดอกไม้เบ่งบานขึ้นมาราวอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ
“อรุณสวัสดิ์” เสียงทักทายในยามเช้าแฝงไปด้วยความง่วงงุน เขามองดวงตาที่สดใสของเธอ แล้วรู้สึกว่าชีวิตช่างงดงามอะไรอย่างนี้
ในโรงพยาบาล ติงต้าเฉินจับมือกับหมอทีละคน เย่ป๋อรับหน้าที่ส่งพวกเขาไปกลับ ติงต้าเฉินมองเธออย่างสงสัย ก่อนจะเอ่ยถาม “ยียี พ่อหนุ่มคนนี้กับหนูเป็นอะไรกัน?”
“คุณพ่อคะ ไม่ใช่นะคะ เขาเป็นผู้ช่วยของเย่เนี่ยนโม่” ติงยียีรีบอธิบาย
“เย่เนี่ยนโม่อย่างนั้นเหรอ? ลูกกับเขาคบกันแล้วกันจริงๆ สินะ?” เมื่อก่อนติงต้าเฉินไม่ค่อยพอใจเย่เนี่ยนโม่เท่าไหร่ แต่ตอนอยู่ในโรงพยาบาล คำพูดของเย่เนี่ยนโม่ทำให้เขามองไปที่ชายหนุ่มที่อายุยังน้อย แต่กลับมีความแข็งแกร่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ติงยียีไม่รู้จะตอบเขายังไง จะบอกว่าคบกัน แต่เธอก็เป็นมือที่สาม เธอจะพูดอย่างเชิดหน้าชูตาได้ยังไงกัน
พอเห็นว่าเธอไม่ตอบอะไร เย่ป๋อรู้สึกประหลาดใจมาก คบกับคุณชายมันยากที่จะพูดออกมามากเลยหรือไง ก่อนจะจงใจพูดออกมาว่า “คุณติงครับ นายน้อยของพวกเราชอบคุณหนูติงมากจริง ๆ ครับ”
ติงต้าเฉินพยักหน้า แต่กลับไม่พูดอะไร เพิ่งเดินออกจากประตูโรงพยาบาล ก็มีเมอร์เซเดส-เบนซ์รถบ้านเคลื่อนที่กำลังจอดรออยู่ที่หน้าประตูทางเข้าโรงพยาบาล
เย่ป๋อตั้งใจจะไปช่วยติงต้าเฉินขึ้นรถ แต่ติงต้าเฉินส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วขึ้นไปในรถด้วยไม้เท้าด้วยท่าทางลำบาก แค่ไม่กี่นาทีก็ทำให้เขาเหงื่อออกท่วมตัวแล้ว
ในขณะที่เย่ป๋อกำลังจะปิดประตูรถ ติงต้าเฉินก็พูดขึ้นมาซะก่อนว่า “ยียี ทำไมวันนี้เย่เนี่ยนโม่ไม่มาด้วย?” ความคิดของเขาง่ายมาก ถ้าเขาคบกับลูกสาวของตนเองจริงๆ ตนเองก็ต้องถามไถ่ถึงเขาบ้างเป็นธรรมดา
ติงยียีรู้สึกขมขื่นในใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเศร้า “วันนี้เขายุ่งมากค่ะ ที่บริษัทมีปัญหาต้องจัดการ เรากลับบ้านกันก่อนเถอะค่ะ”
ติงต้าเฉินไม่สงสัยอะไรอีก เขาพยักหน้าแล้วเข้าไปในรถ ในขณะนั้นเอง มีเสียงเรียกชื่อเธอดังขึ้นมาจากข้างหลัง ติงยียีหันกลับไปมอง จึงเห็นจางถังยืนมองเธออยู่ไกลออกไปไม่กี่ก้าว
ไม่ไกลออกไป รถของเย่ป๋อยังคงจอดรออยู่ที่เดิม ติงยียีหันหลังกลับไปโบกมือให้พ่อของเธอ พอหันกลับมาสายตาของเธอก็เต็มไปด้วยความโกรธ แล้วพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “หมายความว่า หลังจากที่คุณชนพ่อของฉัน คุณก็ตั้งใจจะหนีความผิด แล้วหาคนมารับผิดแทนที่อย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว วันนี้ผมอยากจะมาเจรจากับคุณเป็นการส่วนตัว” จางถังหยิบเช็คเงินสด​ออกมายื่นให้ติงยียี สายตาของเธอที่บาร์ในคืนนั้นทำให้เขาตกใจกลัวมาก และสงสัยว่าอีกฝ่ายจะเจอหลักฐานอะไรหรือเปล่า แต่พอมาคิดดูแล้ว ก็ยังรู้สึกว่ามาเจรจาเป็นการส่วนตัวจะน่าเชื่อถือที่สุด ขอแค่ทางติงยียีไม่เอาความแล้ว ตำรวจก็คงยะไม่กัดไม่ปล่อยอีก เมื่อถึงเวลานั้น เขาแค่หาคนมารับผิดแทนก็พอแล้ว
ติงยียีมองไปที่จำนวนเงินในเช็คเงินสด แล้วพูดเสียงเรียบ “คุณคิดว่าเงินสองแสนจะแลกขาข้างหนึ่งของพ่อฉันได้ไหม?”
จางถังนึกว่าเธอคิดว่าเงินน้อยเกินไป จึงรีบพูด “สองแสนก็ถือว่าไม่น้อยแล้ว เอาอย่างนี้ ผมจะเพิ่มเงินให้อีกหนึ่งแสน มากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“ตกลง ฉันต้องการเงินสามแสนเป็นเงินเหรียญทั้งหมด” ติงยียีพูดเสียงเรียบ จางถังตะโกนเสียงสูง “คุณกำลังล้อผมเล่นอยู่ใช่ไหม”
ติงยียีมองหน้าเขา ในใจสุดแสนจะแค้นเคือง ใช้เงินมาวัดระดับความเจ็บปวดของคนอื่น อีกทั้งยังไม่สำนึกผิด เป็นเพราะเขาปฏิเสธที่จะช่วยพ่อของเธอ จนเธอเกือบจะสูญเสียญาติเพียงคนเดียวของเธอไป ยิ่งเธอคิดถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งโกรธ ติงยียีโยนเช็คใส่หน้าของเขาแล้วพูดว่า: “ฉันก็แค่ล้อเล่นกับคุณ แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากเล่นด้วยแล้ว”
“นี่เธอ!” จางถังโกรธจนระงับอารมณ์ไว้แทบไม่อยู่ รีบเดินเข้าไปจับมือเธอไว้ แต่แค่พริบตาเดียว ข้อมือของเขาก็ถูกจับล็อกไว้ด้านหลัง
“โอ้ย เจ็บ เจ็บ!” เขาร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดและพยายามหนีจากชายชุดดำหน้างเคร่งเครียดที่อยู่ข้างๆเขา เย่ป๋อมองเขาอย่างเย็นชาแล้วพูดกับติงยียี “คุณติงครับ จะให้ผมจัดการเขาเลยไหม? ”​
ติงยียีส่ายหน้า แล้วพูดกับจางถัง “ฉันรู้ ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐาน ถึงแม้ว่าคุณจะถูกจับ คุณก็ปฏิเสธสิ่งที่คุณพูดในตอนนี้ได้ ดังนั้นฉันหวังว่าคุณจะไปมอบตัวด้วยตัวเอง”
จางถังหัวเราะเยาะเย้ยในใจ ให้เขาไปมอบตัวด้วยตัวเอง ล้อเล่นหรือไง บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มจอมปลอมประดับอยู่ ก่อนจะพูด “หรือว่าคุณไม่อยากจะรู้ความลับของอ้าวเสว่ ทำไมเธอถึงช่วยเหลือผมคุณอยากรู้ไหม ถ้าคุณยอมถอนการแจ้งความ ผมจะบอกคุณเกี่ยวกับความลับที่น่าตกใจเกี่ยวกับเธอ!”
“พอแล้ว!” ติงยียีตะโกนลั่น เพื่อหนีความรับผิดชอบเขาทำได้ทุกอย่างจริงๆ ไม่อยากพูดอะไรแล้ว เธอโบกมือให้เย่ป๋อ ทั้งสองก็แยกออกจากกัน
เมื่อกลับถึงบ้าน เพิ่งเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ติงต้าเฉินสะดุ้งตกใจ ก่อนจะรีบออกจากบ้าน เขาลังเลว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ แพนด้าก็วิ่งแลบลิ้นหางกระดิกออกมาอย่างดีใจ แล้วดมฟุดฟิดรอบๆ ตัวเขา
บันไดระหว่างทางเดินถึงประตูถูกทุบให้เป็นพื้นราบ และฉาบพื้นกระเบื้องเรียบ กระเบื้องที่ใช้มีลักษณะลาดเอียงทำให้ขึ้นลงได้สะดวกขึ้น
“นี่มัน?” ติงต้าเฉินพูดอย่างลังเล ติงยียีมองด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินไปข้างหน้าเพื่อช่วยเขาเข็นรถเข็น “ข้างในน่าแปลกใจกว่าค่ะ”
ภายในห้อง เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดที่ขวางทางเดินถูกยกออกไปหมดแล้ว และบริเวณพื้นก็ถูกแทนที่ด้วยเสื่อทาทามิ บันไดคอนกรีตเดิมถูกเปลี่ยนเป็นบันไดไม้เงาวับ ทางซ้ายของบันไดถูกทำเป็นทางเดินเพื่อสะดวกต่อการใช้รถเข็นขึ้นลง
ติงต้าเฉินมองดูด้วยความดีใจ ก่อนจะหมุนล้อรถเข็นขึ้นลงเอง เย่ป๋อคอยดูแลอยู่ข้างๆ โทรศัพท์ของเธอดังขึ้นมา ติงยียีกดรับสาย ปลายสายนิ่งเงียบ บางครั้งก็ได้ยินเสียงลมพัดผ่านใบไม้ลอดเข้ามาตามสาย
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม?” เสียงของเย่เนี่ยนโม่เรียบนิ่ง แต่ก็แฝงไปด้วยอ่อนโยนเพิ่มขึ้นหลายส่วน
“อืม คุณพ่อดีใจมากค่ะ” ติงยียีพูดด้วยสีหน้าประดับรอยยิ้ม และเสียงอ่อนโยนที่ดังมาตามสาย ทำให้เธอรีบหยุดพูดทันที
หลังจากนั้นสักพัก เสียงของเย่เนี่ยนโม่ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “เดี๋ยวผมค่อยไปหาคุณ”
ติงยียีจับโทรศัพท์แน่น แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ในใจรู้สึกเศร้าโศก หรือว่าจากนี้ไปเธอต้องอยู่อย่างนี้ไปตลอดอย่างนั้นเหรอ?
พอหันกลับมา ติงต้าเฉินก็กำลังมองเธอนิ่ง เธอรีบยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว “พ่อคะ”
ติงต้าเฉินกวักมือเรียกเธอ แล้วพูดอย่างรักใคร่ “ครั้งนี้พ่อผิดเอง พ่อสัญญา ว่าจากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อจะไม่ยอมให้ลูกอยู่คนเดียวอีกแล้ว”
“พ่อคะ” ติงยียีเรียกด้วยเสียงสะอื้น ความกลัวและความกังวลทั้งหมดในหัวใจ ในที่สุดก็เลือนหายไป
ในโรงพยาบาล เย่เนี่ยนโม่กดวางสายแล้วมองไปที่หมอ หมอหยิบผลทดสอบของอ้าวเสว่ขึ้นมาแล้วพูด “จากผลการตรวจสอบคนไข้มีโอกาสฟื้นตัวได้สูง ในระหว่างการทดสอบคนไข้ไม่มีอาการของโรคซึมเศร้าให้เห็นชัดเจนเท่าไหร่​ครับ”
“หมายความว่าอาการของเธอฟื้นตัวแล้วเหรอครับ?” สวีเห้าเซิงถามอย่างร้อนใจ
หมอพยักหน้าให้ แล้วพูด “ช่วงนี้พยายามอยู่กับคนไข้ตลอดนะครับ วิธีนี้จะช่วยให้อาการของคนไข้ดีขึ้นเร็วขึ้น”
สวีเห้าเซิงมองไปทางเย่เนี่ยนโม่ แล้วพูดอย่างรู้สึกผิด “ลำบากหลานแล้วจริงๆ”
“ลุงสวีครับ อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ ในตอนเด็กถ้าไม่ใช่เพราะคุณลุง ผมกับแม่จะต้องลำบากมากกว่านี้แน่ๆ วางใจได้ครับ ทุกอย่างยังมีผมอยู่” เย่เนี่ยนโม่พูดเสียงนุ่ม
ที่สวนดอกไม้ในโรงพยาบาล อ้าวเสว่รีบกดวางสายทันทีหลังจากเห็นสวีเฮ่าหรันกับเย่เนี่ยนโม่เดินไปมาทางเธอ สวีเห้าเซิงถามอย่างสงสัย “เสี่ยวเสว่ ลูกโทรหาใครเหรอลูก เพื่อนเหรอ?”
อ้าวเสว่ยกยิ้มแล้วพูด “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เนี่ยนโม่คะ เราไปคอนเสิร์ตกันเถอะค่ะ”
“คราวหน้าเถอะ ผมมีเรื่องอื่นต้องไปทำ” เย่เนี่ยนโม่หันไปพยักหน้าให้ลุงสวี แล้วขับรถออกไป อ้าวเสว่มองตามหลังเขาอย่างหลงใหล สวีเห้าเซิงถอนหายใจ ได้แต่หวังเพียงว่าเสี่ยวเสว่จะฟื้นตัวได้เร็วๆ
“หนูเองก็มีธุระ หนูไปก่อนนะคะ” อ้าวเสว่เรียกรถแท็กซี่ สวีเห้าเซิงกำลังจะถามเธอว่าจะไปไหน รถแท็กซี่ก็ขับออกไปแล้ว
อ้าวเสว่นั่งตามรถของเย่เนี่ยนโม่ไป เมื่อตะกี้จางถังโทรมาบอกกับเธอ ว่าเย่เนี่ยนโม่กับติงยียีคบกันมานานแล้ว และขู่เธอว่าให้ไปเกลี้ยกล่อมติงยียีให้ยกเลิกการแจ้งความเรื่องอุบัติเหตุรถชน ถ้าเธอไม่ช่วยให้เขา เขาจะเปิดโปงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วออกมา

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset