สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1474 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1374

ติงยียียิ้มเยาะ อ้าวเสว่มีพ่อที่รักเธอมากขนาดนี้ มีความรักของเย่เนี่ยนโม่ มีการงานที่มั่นคง เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมมีคนคอยตามหลังตนเอง ให้ตนเองมอบความภักดีกับเธอ มีสิทธิ์อะไร
“ถ้าเย่เนี่ยนโม่ไม่มายุ่งกับฉัน ฉันก็จะไม่ไปยุ่งกับเขาเช่นกันค่ะ” ติงยียีเดินจากไปอย่างเร่งรีบ ตอนนี้เธอแค่อยากขอให้พ่อของเธอยกโทษให้เธอ
ติงยียีสะดุ้งตื่นเพราะเสียงพายุและฟ้าผ่า เธอรีบลืมตาขึ้นทันที เครื่องปรับอากาศของโรงแรมหนาวเย็นมากจนทำให้เธอตัวสั่น
ติงยียีมองเม็ดฝนนอกหน้าต่างอย่างหมดความหวัง นาฬิกาปลุกบนโต๊ะชี้ไปที่ห้าโมงเช้า เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างใจเย็น ใช้นิ้วปัดหน้าจอหาข้อมูล ก่อนจะกดเข้าไปเบาๆ แล้วกดปุ่มโทรออก
อีกฝ่ายรับสายอย่างรวดเร็ว เสียงของเย่เนี่ยนโม่พูดขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยถาม “ยียี คุณอยู่ที่ไหน?
“แล้วคุณล่ะคะอยู่ที่ไหน” เธอถามกลับ อีกฝ่ายนิ่งเงียบไป เธออดหัวเราะออกมาไม่ได้ เสียงฝนตกลงมานอกขอบหน้าต่างดังเล็ดลอดเข้ามาตามสาย ฟังดูเหมือนใกล้แต่ก็ไกล เธอพูด
“ฉันเชื่อว่าคุณรักฉัน ไม่ใช่สิ อย่างน้อยคุณก็ชอบฉัน แต่ฉันไม่เชื่อในความรักของเรา”
เสียงฝนตกผสมกับความเงียบทางโทรศัพท์ทำให้เกิดความรู้สึกที่พิเศษ เสียงลมหายใจที่แรงขึ้นกะทันหันทำให้ติงยียีรู้ว่าเขากำลังจับโทรศัพท์อยู่ เธอพูดต่อ “ฉันรู้ว่าความรักไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน แล้วฉันก็รู้ว่าคุณไม่ได้ชอบเธอ
แต่คุณไม่สามารถปล่อยเธอไปได้ เธอได้ผูกติดกับชีวิตของคุณแล้ว ส่วนฉันอยู่นอกชีวิตของคุณ ทำได้เพียงพึ่งพาฝนและน้ำค้างที่ตกลงมาเป็นครั้งคราวของคุณ”
เธอพูดอย่างเร่งรีบเล็กน้อย เหมือนกลัวว่าจะถูกขัดจังหวะ จนกระทั่งเธอระบายความรู้สึกของเธอออกมาจนหมด เสียงจากอีกด้านของโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา น้ำเสียงของเย่เนี่ยนโม่ชัดเจนมากขึ้น “ผมเคยบอกคุณแล้ว ให้เวลาผมอีกสักหน่อย”
“เย่เนี่ยนโม่” เธอตะโกนเรียกทั้งชื่อและนามสกุลของเขา มือข้างหนึ่งจับโทรศัพท์ไว้ ส่วนมืออีกข้างทุบลงที่ตำแหน่งหัวใจ ตรงนั้นเจ็บมากจนหายใจแทบจะไม่ออก แต่เสียงของเธอกลับใจเย็นมาก เธอพูด “แต่ฉันไม่อยากจะรออีกต่อไปแล้ว”
“ยียี! เพล้ง!” เธอกดวางสาย แล้วมองที่ข้างเตียง ก่อนจะมีความรู้สึกอยากตากฝนขึ้นมากะทันหัน เธอเปิดหน้าต่างออก ลมที่พัดเข้ามาบนชั้นสิบสี่หนาวจนถึงกระดูก เม็ดฝนผสมกับลมสาดกระทบหน้าของเธอ สายฝนอันหนาวเหน็บปนไปกับน้ำตาอุ่นๆ ของเธอ เช้าของวันนี้ ไม่มีคำว่าอรุณสวัสดิ์ มีแค่ฝน
หลังจากออกจากห้องพัก ติงยียีก็รีบเรียกรถแท็กซี่ออกไป โรงแรมที่เธอพักอยู่ไกลจากบริษัทหลินซื่อเล็กน้อย เธอจึงต้องใช้เวลาในการเดินสักพัก
เพราะการระบายน้ำไม่ดีทำให้มีกองน้ำฝนค้างอยู่ด้านข้าง มีรถขับผ่านอย่างรวดเร็ว ติงยียีคิดจะหลบ แต่ก็ไม่ทันแล้ว เธอยืนนิ่งอยู่ที่เดิมปล่อยให้น้ำโคลนจากรถกระเด็นใส่เธอ
คนเดินผ่านไปมามองอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ในเวลานี้เองเสียงโทรศัพท์ช่วยให้เธอรอดจากเรื่องน่าอับอายนี้ไปได้ เป็นเบอร์แปลกหน้า เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “คุณติงยียีใช่ไหมครับ ทางเราจับเจ้าของรถที่ก่อเหตุได้แล้วครับ รบกวนมาที่สถานี XX เพื่อให้ความร่วมมือในการสอบสวนด้วยครับ”
เธอรีบออกเดินทาง และเป็นไปตามที่คาดไว้เธอเห็นจางถังนั่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าบูดบึ้ง โดยมีชายใส่ชุดสูทกับรองเท้าหนังนั่งถัดจากเขา น่าจะเป็นทนายความของเขา
“ติงยียี เธอพอใจหรือยัง พ่อของผมโมโหจนต้องเข้าโรงพยาบาล คุณพอใจแล้วใช่ไหม!” จางถังรีบลุกขึ้นยืน แล้วจ้องมองเธออย่างโกรธแค้น เหมือนคนร้ายคือติงยียีไม่ใช่เขา
ติงยียีมองเขาอย่างแปลกใจ เธอยังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ทำไมจางถังถึงพูดอย่างนั้น? Bakerเดินเข้ามา ยื่นรูปถ่ายให้เธอ ในรูปภาพเป็นรูปรถ BMW ที่ด้านหน้าของเธอถูกกระแทกจนยับเยิน
“นี่ไม่ใช่รูปที่คุณส่งมาจริงๆ เหรอครับ” Bakerแสดงที่อยู่ของผู้ส่งบนซองจดหมายให้เธอดู มันเขียนชื่อของเธอไว้
เธอส่ายหน้า จางถังหัวเราะออกมาจากด้านข้าง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ทนายที่อยู่ด้านข้างยืนขึ้นแล้วพูด “เราขอคุยกับคุณติงเกี่ยวกับแก้ไขปัญหาเป็นการส่วนตัวครับ”
ติงยียีปฏิเสธออกมาทันที “ไม่ว่าคุณจะจ่ายสองแสนหรือสามแสน ฉันก็ไม่ให้อภัยคุณ คนที่ทำผิดควรได้รับโทษ”
จางถังหัวเราะออกมากะทันหัน ก่อนจะพูดเสียงเจ้าเล่ห์ “มันก็ไม่แน่ง เธอหันไปดูซะก่อนว่าใครมา”
ติงยียีหันหลังไปมอง ก็เจอเข้ากับเย่เนี่ยนโม่ โดยมีอ้าวเสว่กอดแขนเขาอยู่ ก่อนจะเดินเข้ามาด้วยสีหน้าลำพองใจ ติงยียีมองดูเขานิ่ง ถ้าเธอจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้พวกเธอยังช่วยกันเรื่องนี้อยู่เลย ในตอนนั้นเขาบอกว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเธอเสมอ
“เจรจากันส่วนตัวเถอะ” เย่เนี่ยนโม่พูด ติงยียีมองหน้าเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ใบหน้าที่หล่อเหลาเหมือนเดิม แววตาเหมือนเดิม ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นออกมาได้? เขาจะไม่เห็นแววตาที่เจ็บปวดของพ่อเธอหรือไงกัน หรือเขาไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วม ทำไมเวลาแค่ช่วงสั้น ๆ เขาถึงกลับคำแบบนี้
“ไม่ มี ทาง!” ติงยียีพูดออกมาทีละคำ แต่ละคำช่างบาดลึกถึงใจ
เย่เนี่ยนโม่มองเธอนิ่ง คำตอบของเธอไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเขาเลย เขาเพียงแค่พยักหน้า แล้วหันหลังและเดินออกไป
“เย่เนี่ยนโม่” ติงยียีไม่ยอม เธอวิ่งไล่ตามออกไป พยายามวิ่งตาม จนในที่สุดก็ตามเขาทัน เธอดึงแขนเสื้อเขาแล้วถามอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมคะ?”
“เป็นคุณเองที่ต้องการปล่อยมือก่อนไม่ใช่เหรอ” เย่เนี่ยนโม่เหลือบมองเธอ ในแววตาของเขามีหลายอย่างที่เธอไม่เข้าใจ เธออยากจะมองเข้าไปใกล้ๆ แต่กลับถูกผลักออกไปอย่างแรงจากด้านข้าง
เธอถูกผลักโดยไม่ทันระวัง จึงเซไปชนกับรถยนต์ไฟฟ้าที่อยู่ข้างๆ อย่างแรง ข้อศอกชนเข้ากับรถ ติงยียีรู้สึกวิงเวียนไปสักพัก แล้วเงยหน้าขึ้นเพื่อมองหาเย่เนี่ยนโม่อย่างลืมตัว
เย่เนี่ยนโม่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกง ยืมมองเธอด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว ไม่มีความโกรธ หรือเป็นห่วงเลย
เธอไม่เข้าใจ! ทำไมเวลาแค่คืนเดียว ถึงทำให้ผู้ชายที่เคยบอกรักเธอมากถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ทั้งเลือดเย็นและไร้ความเมตตา
อ้าวเสว่เหลือบมองไปทางเย่เนี่ยนโม่อย่างกังวล แต่พอเห็นว่าเขาไม่ได้โกรธที่เธอผลักติงยียี จึงยิ่งได้ใจ เธอเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าติงยียี แล้วเหยียบกระเป๋าของติงยียีที่ตกอยู่บนพื้นตอนเธอล้มลง รอยรองเท้าส้นสูงของเธอประทับลงบนกระเป๋า แล้วมองติงยียีอย่างครอบงํา เหมือนตัวเองป็นราชินีที่ได้ชนะ
“คุณมันไร้เดียงสามาก” ติงยียีหัวเราะเยาะ ข้อมือของเธอมีบาดแผล เธอมองทั้งสองคนที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวอย่างหยิ่งในศักดิ์ศรี จากนั้นก็มองลงไปตรงกระเป๋าที่ถูกเหยียบจนจำเลอะเทอะ ก่อนจะเดินจากไป
อ้าวเสว่จงใจจะทำให้เธอโมโห พอเห็นเธอนิ่งเงียบ ไม่โมโห จนเห็นเธอเดินลับตาไป จึงเดินกลับไปยืนข้าง ๆ เย่เนี่ยนโม่ตามเดิม
“เนี่ยนโม่คะ มือของคุณเป็นอะไรไปคะ?” อ้าวเสว่จับมือของเขาขึ้นมาดูแล้วร้องอย่างตกใจ ตรงฝ่ามือของเย่เนี่ยนโม่มีแผลคล้ายพระจันทร์เสี้ยวเจาะลึกเข้าไปสี่แผล แล้วเลือดก็เริ่มแห้งแล้ว
เย่เนี่ยนโม่ดึงมือของเขากลับ แล้วพูดกับเธอว่า “ไปกันเถอะ”
“ขอบคุณนะคะที่คุณยอมช่วยจางถังในครั้งนี้ ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ!” อ้าวเสว่พูดอย่างมีดีใจ
“ผมไม่ได้คิดจะช่วยเขา แต่เพราะคุณอยากจะช่วยเขา” เย่เนี่ยนโม่พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม อ้าวเสว่กอดแขนเขาไว้ด้วยสีหน้ามีความสุข แล้วพูดออกมาอย่างเขินอาย “คุณดีกับฉันจริงๆ ค่ะ ฉันหวังว่าอาการป่วยของฉันจะหายเร็วๆ จะได้ไม่เป็นภาระให้คุณไปมากกว่านี้”
“ไม่ต้องคิดมาก ไปกันเถอะ” ทั้งสองเดินจากไป พอถึงกลางทาง อ้าวเสว่ก็อ้างว่าจะไปหาสวีเห้าเซิง เย่เนี่ยนโม่ไม่ได้คัดค้านอะไร
อ้าวเสว่ลงจากรถ แล้วยืนมองรถของเย่เนี่ยนโม่หายลับตาไป จากนั้นเธอก็เรียกแท็กซี่กลับไปในทิศทางที่เพิ่งจากมา
รถปอร์เช่ที่ขับออกมาจากหัวมุมก่อนหน้านี้ คือรถของเย่เนี่ยนโม่ที่เพิ่งขับออกไป เย่เนี่ยนโม่ขับรถตามรถแท็กซี่คันข้างหน้าไปพร้อมกับพูดผ่านหูฟังบลูทูธ “ลุงBakerครับ เธอกำลังมุ่งหน้าไปทางลุงแล้วนะครับ”
“เข้าใจแล้ว ลุงจะไม่ให้เธอเห็นลุง” Bakerกดวางสาย แล้วโทรไปบอกกับเพื่อนร่วมงานว่า ถ้าใครมาขอพบเขาให้บอกว่าเขาไม่อยู่
แท็กซี่หยุดจอดนอกสถานีตำรวจ อ้าวเสว่เดินลงจากรถ แล้วมองไปรอบๆ อย่างระวังตัว พอเห็นว่าไม่มีใครถึงได้ก้มศีรษะรีบเดินเข้าไปในสถานีตำรวจอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจBakerอยู่ไหมคะ” เธอถามด้วยเสียงอ่อนหวาน เจ้าหน้าที่ตำรวจด้านข้างมองมาที่เธอเล็กน้อย ก่อนจะพูด “ออกไปแล้วครับ ถ้ามีอะไรแจ้งไว้ได้ครับ ถ้าเขากลับมาเราจะแจ้งให้เขาทราบ”
อ้าวเสว่รีบส่ายหน้า แล้วพูดชื่อตำรวจ C อีกคนขึ้นมาแทน หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ได้มานั่งในห้องสอบสวน และนั่งเผชิญหน้ากับจางถังตัวต่อตัว
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณจะมีความสามารถขนาดนี้” จางถังดึงผมของตัวเองด้วยสีหน้ารังเกียจ อยู่ในห้องขังทั้งวันจนเขาจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ตอนนี้กำลังรอทนายทำเรื่องประกันตัวเขาอยู่
“ฉันขอให้เย่เนี่ยนโม่ช่วยเกลี้ยกล่อมติงยียีตามคำขอของนายแล้ว ถ้าเธอไม่ยอม ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว” อ้าวเสว่พูด
“ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เนี่ยนโม่จะถูกเธอทำให้เชื่องได้จริงๆ ติงยียีผู้หญิงคนนั้น ไม่รู้ว่าไปถ่ายรูปรถของฉันมาจากที่ไหน โชคดีที่เธอบอกฉัน ฉันถึงได้เตรียมการรับมือไว้ได้ รอฉันออกไปก่อนเถอะ ฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่” จางถังตบโต๊ะอย่างโมโห เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบ เขาจึงรีบนั่งลง
อ้าวเสว่มองเขาอย่างเย้ยหยัน แต่ในใจกลับภูมิใจมาก ตราบใดที่เธอยังแสร้งทำเป็นบ้า ตราบใดที่พ่อหน้าโง่อย่างสวีเห้าเซิงยังเอาใจเธออยู่ เย่เนี่ยนโม่ก็ไม่สามารถหนีไปจากเงื้อมมือของเธอได้ เธอรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เรื่องเมื่อสามปีที่แล้ว? ”
“วางใจได้ ครั้งนี้เธอยอมยื่นมือเข้าช่วย ฉันไม่ทรยศเธอแน่” จางถังให้คำสัญญา ทั้งสองมองหน้ากัน ต่างคนต่างคิดแผนเจ้าเล่ห์อยู่ในใจ
ในห้องทำงานอีกห้อง ภาพกล้องวงจรปิดกำลังฉายภาพที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ Bakerคีบบุหรี่ไว้ในมือ “หลานรู้ได้ยังไงกันว่าทั้งสองรู้จักกัน”
“สัญชาตญาณครับ” เย่เนี่ยนโม่มองไปที่สองคนบนหน้าจอ แต่ความคิดของเขากลับไปอยู่ที่ติงยียี เพื่อที่จะเล่นละครฉากนี้ เขาจำเป็นต้องทำให้เธอเสียใจ ไว้เขาจะอธิบายให้เธอฟังทีหลัง
Bakerรับสาย แล้วพูดว่า “จับตัวEmilyได้แล้ว ทำยังไงเธอถึงยอมสารภาพก็ขึ้นอยู่กับหลานแล้วนะ”
ในห้องสอบปากคำ Emilyนั่งกระสับกระส่าย และพยายามแก้ตัวกับให้ตำรวจ C ที่อยู่ด้านข้าง “ครั้งที่แล้วก็เรียกฉันมาแล้วไม่ใช่เหรอคะ? แล้วฉันก็สารภาพไปหมดแล้วว่าเป็นฝีมือผู้ชายคนนั้น”
ตำรวจ C ที่อยู่ด้านข้างมองมาที่เธอโดยไม่พูดอะไร เธอกุมมืออย่างแน่น เหมือนนิ้วจะหายไปได้ ตอนนี้เธอจะขอความช่วยเหลือจากฉีเหวินก็ไม่ทันแล้ว
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป โม่ซวนหลินรู้สึกยิ่งกระสับกระส่ายมากขึ้น และยิ่งไวต่อแสงมากขึ้น ก่อนจะถามว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว เธอเริ่มอยู่ไม่สุก แล้วเริ่มสงสัยว่าทำไมถึงจับตัวเธอมา แต่กลับไม่สอบสวนอะไรเธอเลย จางถังยอมสารภาพผิดแล้วหรือยัง ถ้าหากเธอยอมบอกความจริงไปเธอจะพ้นความผิดแล้วหรือเปล่า
ประตูถูกเปิดออกกะทันหัน เธอรีบลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะมองคนที่เดินเข้ามาอย่างตกใจกลัว Bakerพูดเสียงเรียบ “เรารู้ว่าคุณเป็นดาราใหญ่ แต่เราไม่สามารถติดต่อบริษัทต้นสังกัดของคุณได้ ดังนั้นเราจึงต้องเรียกตัวเมียน้อยของคุณมาแทน . .”

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset