สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1476 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1376

ทันใดนั้นเอง ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเห็นท่านประธานมีความเคลื่อนไหว แล้วเห็นว่ามือของเขาที่จับกันแน่นบนโต๊ะคลายลง มือข้างหนึ่งวางลงใต้โต๊ะ แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ สีหน้าของเขาเปลี่ยนจากคมกริบในตอนแรกกลายเป็นนุ่มนวลขึ้น
ผู้จัดการแผนกถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วเห็นใบหน้าของท่านประธานเปลี่ยนจากดีเป็นเคร่งขรึม ทำให้เขาตกใจมากยิ่งขึ้น
ทันทีที่เขาคิดไปถึงเรื่องอื่น ตัวเลขที่พูดออกมาก็ผิดไปด้วย “จากไตรมาสที่แล้วมียอดเพิ่มขึ้นยี่สิบสามเปอร์เซ็นต์” ผู้จัดการแผนกไม่รู้ว่าตัวเองพูดผิด แล้วอ่านรายงานต่อ
“เดี๋ยวก่อน” เย่เนี่ยนโม่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบาๆ แล้วทวนซ้ำ “ยี่สิบสามเปอร์เซ็นต์อย่างนั้นเหรอ?”
ผู้จัดการแผนกรีบก้มลงมองรายงานในมือ ที่แท้เขาก็พูดผิดไป เดิมทีควรจะพูดว่าสามสิบสองเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้สีหน้าของเขาเปลี่ยนจากขาวเป็นดำทันที
“รายงานต่อ” เย่เนี่ยนโม่วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ สีหน้าเรียบนิ่งตามเดิม ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่กล้าเหม่อลอย ตั้งสติไว้ตลอดเวลา
เย่เนี่ยนโม่พุ่งความสนใจไปที่โทรศัพท์ สีหน้าเริ่มไม่พอใจ เมื่อตะกี้เขานึกว่าติงยียีโทรมาหาเขา แต่ผลคือข้อความแจ้งเตือนทางจากฝ่ายบริการลูกค้าของศูนย์ แจ้งว่าจะมีพายุไต้ฝุ่นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า สวรรค์คงจะรู้ว่าตอนนี้อารมณ์ของเขาคงเหมือนพายุไต้ฝุ่นสับสนวุ่นวายไปหมด
หลังจากสิ้นสุดการประชุม เย่เนี่ยนโม่ก็ปฏิเสธคำเชิญของผู้บริหารระดับสูงที่ชวนไปกินข้าวด้วยกัน เมื่อทุกคนเดินออกไปจนหมด เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา มองประวัติการโทร ชื่อติงยียีสามคำยังคงนิ่งเงียบ สักพัก เขาก็วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะอย่างแรง ทำไมเธอไม่โทรมาหาเขาสักที เธอรู้แล้วไม่ใช่เหรอว่าที่เขาทำแบบนั้นเขาไม่ได้ตั้งใจ
เขาโทรไปที่สายภายใน แล้วเสียงของเลขาก็ดังขึ้น “ท่านประธานคะ คุณเย่ออกไปแล้วค่ะ”
ออกไปแล้วเหรอ? เย่เนี่ยนโม่กดโทรหาเย่ป๋อด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย หลังจากกดรับสายแล้ว เย่ป๋อก็รีบขอโทษทันที “ขอโทษด้วยครับคุณชาย ที่ผมรีบออกมาโดยไม่ได้รับความอนุญาตจากคุณชายก่อน”
“นายไปสืบให้ฉันทีว่าตอนนี้ติงยียีทำอะไรอยู่?”
“คุณชายครับ ที่ผมออกมาก็เพราะเรื่องนี้เลยครับ” เย่ป๋อดีใจที่เดาความคิดของคุณชายออก
เย่เนี่ยนโม่รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย หรือว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อติงยียีจะมองออกชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ? เขารีบควบคุมอารมณ์ในใจของเขาไว้ เขาหยิบกาแฟบนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะจิบอย่างสง่างาม แล้วพูดว่า “ตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่”
เย่ป๋อลังเลเล็กน้อย เขามองไปทางสองคนที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟ เขาพูดอย่างลังเลเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าคุณติงกำลังออกเดตกับผู้ชายคนหนึ่ง ที่ชื่อว่าเย่ชูหวินครับ”
ทันทีที่เสียงหายไป เสียงปลายสายก็วางสายไปเรียบร้อย เย่ป๋อทำได้เพียงให้มองสังเกตการณ์ทั้งสองคนที่นั่งทางด้านซ้ายของเขา
พนักงานเสิร์ฟเดินไปทางติงยียีกับเย่ชูหวิน แล้วถามอย่างสุภาพ “ไม่ทราบว่าต้องการจะสั่งอะไรบ้างคะ”
“ขอน้ำส้มหนึ่งแก้วครับ ขอเค้กที่ไม่มีส่วนผสมของลูกพีชหนึ่งชิ้น กับกาแฟอีกหนึ่งแก้ว ขอบคุณครับ” เย่ชูหวินยื่นเมนูกลับให้พนักงานร้าน
“คุณจำได้ว่าฉันแพ้ลูกพีชด้วยเหรอ” ติงยียีเผลอถามออกมา ก่อนจะรู้สึกเขินอายหลังจากถามออกไป เย่ชูหวินเองก็ไม่รู้ตัว เขามองเธอ ในใจของเขาดีใจมากจนอธิบายไม่ถูก ต้องควบคุมตัวเองมากแค่ไหน ที่จะไม่ดึงเธอเข้าไปกอดไว้
“คุณผอมไปเยอะมากเลย” ติงยียีพูดอย่างเป็นห่วง เห็นแก้มทั้งสองข้างของเขาตอบลงไปเล็กน้อย ท่าทางของเขาเหมือนไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน แล้วมีร่องรอยของความอ่อนล้า
“บางทีผมคงไม่คุ้นเคยกับอาหารอเมริกาเท่าไหร่” เย่ชูหวินยิ้มให้แล้วขยับน้ำส้มมาวางตรงหน้าเธอ จนรอยสักที่แขนโผล่ออกมาจากชายเสื้อ และเห็นได้ชัดว่าเป็นรูปหน้าคน
“ดูเหมือนว่าคุณจะปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมของต่างประเทศ สักตามเขาไปด้วย” ติงยียีพูดติดตลก เย่ชูหวินยกยิ้ม ก่อนจะดึงแขนเสื้อลง เพื่อปกปิดรอยสัก แล้วพูดเสียงเรียบ “มีเพื่อนที่อเมริกาบอกผม ถ้าสักชื่อหรือรูปของคนที่ชอบไว้ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย คนนั้นจะรับรู้ได้ แต่ดูเหมือนว่าไม่ได้ผลอะไรเลย”
ติงยียีกำลังดื่มน้ำส้มเข้าไปอึกใหญ่ เธอไม่กล้าถามเขาว่าที่เขาพูดเมื่อตะกี้หมายความว่าอะไร เธอกลัวที่จะได้ยินคำตอบจากเขา กลัวว่าคำตอบของเขาคือเขามีคนที่รักอยู่แล้ว และยิ่งกลัวว่าคนที่เขารักจะเป็นตัวเอง
“วันมะรืนนี้ ผมจะออกเดินทางแล้ว” เย่ชูหวินมองมาที่เธอ สีหน้าจริงจังมาก เหมือนทั้งสองคนไม่เคยแยกจากกัน
หัวใจของติงยียีรู้สึกเสียใจ แอบเสียดายอยู่บ้าง และไม่เต็มใจอยู่บ้าง แต่ความปวดใจในช่วงแรกถูกคลี่คลายไปแล้ว กลับมีความรู้สึกสงบเล็กน้อย
“ถ้าหากอาการคุณป้าดีขึ้น ก็กลับประเทศเถอะ อาหารในประเทศน่าจะเหมาะกับคุณมากกว่า” ติงยียีพูดจากใจจริง
หลังจากที่เย่ชูหวินเห็นสีหน้าของเธอก็ชะงักไป ก่อนจะรู้สึกโล่งใจ เธอคงจะทำใจได้แล้วจริงๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้วางใจได้สักที
เสียงกระดิ่งตรงประตูร้านกาแฟส่งเสียงดังขึ้นมา มีเงาร่างหนึ่งพุ่งเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน ก่อนจะหยุดนิ่งสักพักแล้วเดินตรงไปไปทางติงยียี
เย่เนี่ยนโม่เห็นทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานผ่านประตูกระจกตั้งแต่แรกแล้ว ในใจของเขาเต็มไปด้วยความโมโห เขาตั้งตารอให้เธอโทรมาหาตั้งนาน แต่เธอกลับมานั่งคุยกับแฟนเก่าอยู่ที่นี่
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเนี่ยนโม่” เย่ชูหวินมองสายตาที่กำลังโกรธของเย่เนี่ยนโม่ออก ติงยียีหลบสายตา แต่ในใจของเขายิ่งชัดเจน หัวใจของเขาบีบแน่นจนรู้สึกเจ็บ แล้วจับผ้าปูโต๊ะไว้แน่น
“ทำไมนายถึงผอมแบบนี้” เย่เนี่ยนโม่เห็นเขาลุกขึ้นยืนก็ต้องตกใจ เสื้อผ้าที่เป็นแบบเดียวกันตอนนี้ใส่แล้วกลับรู้สึกหลวมโพรก
“คงจะเป็นเพราะไม่คุ้นชินกับต่างแดนน่ะ” เย่ชูหวินยิ้ม แล้วจงใจเปลี่ยนหัวข้อ “นี่พวกคุณ?”
“เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันทั้งนั้นค่ะ” ติงยียีรีบพูดขึ้นมาก่อน เหมือนต้องการปกปิด
“ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอย่างนั้นเหรอ?” เย่เนี่ยนโม่จงใจพูดเน้นเสียง สีหน้าของเขาเริ่มจะโมโห
“ยียี คุณช่วยไปสั่งเค้กห่อกลับบ้านที่เคาน์เตอร์ให้ผมทีได้ไหม หลังจากกลับประเทศมา ความอยากอาหารของผมก็ดีขึ้นเยอะเลย” เย่ชูหวินหันไปพูดกับติงยียี
ติงยียีพยักหน้ารับทันที เธอเป็นห่วงเกี่ยวกับสภาพร่างกายของเขามาก เย่เนี่ยนโม่รู้ว่าเขาจงใจให้เธอออกไป จึงยืนอยู่ตรงนั้นเงียบ ๆ
“เย่เนี่ยนโม่ ผมยกเธอให้คุณดูแล แต่ทำไมคุณถึงทำให้เธอเสียใจแบบนี้” เย่ชูหวินพูดอย่างเย็นชา ถ้าไม่ใช่เพราะสภาพร่างกายในตอนนี้ของเขาไม่เป็นใจ เขาคงจะต่อยอีกฝ่ายไปแล้ว
“ฉันชอบเธอ” เย่เนี่ยนโม่พูด ก่อนจะมองคนที่กำลังเลือกเค้กที่เคาน์เตอร์ สายตาของเขาอ่อนโยนมาก
“แค่ชอบเท่านั้นเองเหรอ?” เย่ชูหวินพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงต่ำ ถ้าเขาแค่รู้สึกในระดับชอบ เขาจะไม่มีทางวางใจยกติงยียีให้เขาดูแลอย่างแน่นอน
“เนี่ยนโม่ ในเมื่อคุณแค่รู้สึกชอบเธอ ก็อย่าขัดขวางการจากไปของยียี เมื่อตะกี้เธอเพิ่งตัดสินใจไปอเมริกากับผม” เย่ชูหวินพูดโกหก
“คุณพูดว่าอะไรนะ” เย่เนี่ยนโม่ตะโกนเสียงดัง นัยน์ตาคมกริบ เย่ชูหวินเห็นเขาเป็นแบบนี้ก็ถอนหายใจออกมา บางทีเขาเองก็คงไม่รู้ว่าในหัวใจของเขายียีสำคัญมากแค่ไหน
“ยียีรับปากกับผมว่าจะไปอเมริกากับผม ผมหวังว่าคุณจะไม่ยุ่งวุ่นวายเธออีก” เย่ชูหวินรู้สึกหัวใจอาการแย่รู้สึกไม่ค่อยสบาย แต่ก็ยังพยายามพูดออกมา
เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่ที่เดิม มองไปที่ติงยียีที่เดินกลับมาพร้อมกับเค้กในมือ อารมณ์ของเขาปั่นป่วนมาก เงาของเธอกลับลอยห่างจากสมองของเขาไกลขึ้นเรื่อยๆ เขายื่นมือออกไป แล้วดึงแขนของติงยียีที่กำลังยื่นกล่องเค้กให้เย่ชูหวินมาจับไว้แน่น
“ปล่อย! มันเจ็บนะ” ติงยียีร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เมื่อถูกมือแข็งแกร่งของเขาจับแขนไว้แน่น เย่เนี่ยนโม่รู้สึกตัว จึงรีบปล่อยมือออกทันที
“คุณจะไปกับเขาเหรอ” เย่เนี่ยนโม่พูดออกมาทีละคำ หัวใจเต้นแรง แม้แต่การหายใจก็ไม่ค่อยคงที่
ติงยียีคิดว่าเขากำลังถามว่าหลายวันนี้เธอจะอยู่เป็นเพื่อนเย่ชูหวินใช่ไหม จึงพยักหน้ารับ เย่ชูหวินกำลังจะไปอยู่ต่างประเทศ แน่นอนว่าช่วงนี้ เธอต้องอยู่เป็นเพื่อนเขาสักสองสามวัน
“ดี ดี ดี” เย่เนี่ยนโม่พูดซ้ำหลายรอบ และไม่จำเป็นต้องถามอะไรอีกแล้ว เย่ชูหวินสำคัญกว่าเขาเสมอ
เย่เนี่ยนโม่มองไปทางติงยียีอย่างลึกซึ้ง แล้วไม่พูดอะไร ก่อนจะหันหลังเดินจากไป ศักดิ์ศรีของเขาไม่อนุญาตให้เขาพูดยื้ออะไรอีก
ติงยียีเห็นว่าเขาเดินจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว หัวใจของเธอก็รู้สึกโหวงเหวง เย่ชูหวินเดินไปยืนขวางตรงหน้าเธอเพื่อไม่ให้เธอมองแผ่นหลังของเย่เนี่ยนโม่ตอนเดินจากไป ครั้งนี้ เขาจะยอมเป็นคนเลวเอง
ในบ้านตระกูลเย่ อ้าวเสว่นำผลงานออกแบบของเธอออกมา แล้วพูดว่า “น้าเซี่ยคะ พรุ่งนี้เป็นกำหนดที่ต้องส่งผลงานค่ะ น้าช่วยหนูดูหน่อยได้ไหมคะ”
เซี่ยชีหรั่นหยิบผลงานขึ้นมาดู แล้วช่วยเธอตรวจสอบทุกรายละเอียดด้วยแว่นขยาย แล้วคิ้วของเธอขมวดเล็กน้อย
“น้าเซี่ยคะ ฉันออกแบบได้ไม่ดีเหรอคะ?” อ้าวเสว่รีบถามอย่างร้อนใจ เซี่ยชีหรั่นคืนผลงานออกแบบให้กับเธอ แล้วพูดว่า “หนูมีพรสวรรค์ในด้านการออกแบบมากจ้ะ เห็นครั้งเดียวก็ไม่เคยลืม นี่เป็นข้อดีของหนูเลย แต่ว่านะเด็กน้อย น้าไม่เห็นจิตวิญญาณในผลงานของหนูเลย”
“จิตวิญญาณเหรอคะ?” อ้าวเสว่ไม่พอใจเล็กน้อย ภาพวาดคือภาพวาด จิตวิญญาณมาจากไหน เซี่ยชีหรั่นเห็นว่าเธอไม่เข้าใจ จึงได้แต่รู้สึกเสียดาย
“คุณชายครับ” พ่อบ้านร้องอุทานออกมา ข้างนอกฝนตกหนักมาก เย่เนี่ยนโม่เดินเข้ามาในสภาพเปียกโชก เขาก็รีบไปหยิบผ้าเช็ดตัวให้เขา
“เนี่ยนโม่!” เซี่ยชีหรั่นกับอ้าวเสว่เรียกออกมาพร้อมกัน เซี่ยชีหรั่นรีบเดินไปหยิบเสื้อผ้า ส่วนอ้าวเสว่ก็รีบสั่งให้ทางห้องครัวต้มน้ำขิง
“แม่ครับ ผมไม่เป็นไร” เย่เนี่ยนโม่ฝืนยิ้ม ก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นบน
“เนี่ยนโม่คะ” อ้าวเสว่เรียกด้วยเสียงอ่อนหวาน เขาหันไปมองเธอด้วยสายตาเย็นชา จนอ้าวเสว่เซถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แล้วพยายามหลบสายตาที่น่ากลัวของเขาไป
ในห้องอาบน้ำ เย่เนี่ยนโม่มองตัวเองในกระจก แสงจากฟ้าแลบรอดเข้ามาจากนอกหน้าต่าง หัวใจของเขาหนาวเหน็บจนถึงกระดูก
ฝักบัวอาบน้ำกำลังถูกน้ำร้อนไหลผ่านอย่างต่อเนื่อง ไอความร้อนทำให้ผิวกระจกเบลอ เห็นแค่เงาคลุมเครือในกระจก เงาในกระจกโยกเยกไปมาในกระจก ราวกับกำลังหัวเราะเยาะเขาอยู่
“พอแล้วได้!” เขาทุบกระจกด้วยกำปั้น กระจกจึงแตกออก กระจัดกระจายจนทั่วพื้น
เซี่ยชีหรั่นกับอ้าวเสว่กำลังเตรียมน้ำขิงให้เขา พวกเธอเห็นเย่เนี่ยนโม่เดินลงมาชั้นล่าง แล้วเดินออกจากบ้านไปทันที
“เนี่ยนโม่!” เซี่ยชีหรั่นรีบตะโกนเรียกตามหลังเขาไป นี่เป็นครั้งแรกที่เย่เนี่ยนโม่เมินเฉยต่อคำพูดของแม่โดยสิ้นเชิงแบบนี้ เขาแค่อยากจะวิ่ง เพื่อเอาทุกสิ่งที่เกี่ยวกับติงยียีออกไปจากสมอง
เขาวิ่งออกไปกลางสายฝน ฝนเม็ดใหญ่กระทบลงบนหน้าของเขา ก่อนจะแตกกระจายบนหน้า
เสื้อผ้าของเขาเปียกโชกไปหมด ยืนกอดตัวเองไว้แน่น ในรองเท้าของเธอก็เต็มไปด้วยน้ำ เห็นไฟหน้ารถส่องมาจากระยะไกลเป็น เขาไม่หลบทาง เหมือนเขาจะไม่อยู่ในอารมณ์ต่อต้าน ได้แต่หายใจอย่างแรง

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset