สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1477 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1377

เขาไม่รู้ว่าเขาวิ่งไปแล้วกี่กิโลเมตร รู้แค่ว่าจากที่ฝนตกอย่างหนักจนถึงเบาลง จากชานเมืองไปจนถึงเขตตัวเมืองที่ครึกครื้น ตอนนี้ขาของเย่เนี่ยนโม่หนักมาก เขาทำได้แค่วิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ
“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!” เสียงสุนัขเห่าทำให้เขาได้สติกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะหยุดฝีเท้าที่หนักลง เย่เนี่ยนโม่ถึงได้พบว่าเขาวิ่งจากบ้านของตนเองมาถึงหน้าบ้านของติงยียีแล้ว
แพนด้าส่งเสียงเห่า เขายืนนิ่ง ได้ยินเสียงของติงยียีดังมาจากในบ้าน นุ่มนวลมาก ถึงแม้จะไม่ชัดเจน แต่ก็อ่อนหวานมาก
ติงต้าเฉินออกมาดูว่าทำไมแพนด้าถึงเห่า พอเห็นเย่เนี่ยนโม่เขาก็ต้องตกใจขึ้นมา ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นายมาที่นี่ทำไม”
“ผมอยากมาหาเธอ” เขาอยากเจอเธอ อยากดึงเธอเข้ามากอด อยากให้เธออยู่เคียงข้างเขา ไม่ต้องไปอเมริกา
“นายรอตรงนี้ ฉันจะไปบอกเธอให้ แต่เธอจะออกมาเจอนายหรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง” ติงต้าเฉินเรียกแพนด้าเข้าไปในบ้าน แล้วปิดประตูทันที
“พ่อคะ ใครมาเหรอคะ” ติงยียีเอ่ยถามในขณะที่วางอาหารลงบนโต๊ะ
“ไม่มีใคร แค่คนที่เดินผ่านแล้วตกใจกับเสียงเห่าของแพนด้าน่ะ” ติงต้าเฉินดื่มเหล้าขาวจนหมดในอึกเดียว แล้วมองลูกสาวคนสวยของเขา ความรู้สึกผิดในใจของเขาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้น
ติงยียีฟังเสียงฝนที่ตกแรงขึ้นข้างนอกหน้าต่าง ก่อนจะวางตะเกียบแล้วพูดยิ้มๆ “วันนี้ฝนตกหนักมากเลยนะคะ”
ติงต้าเฉินตอบกลับอย่างใจเย็น แล้วนั่งดื่มเหล้าเงียบๆ หลังอาหารเย็น ติงยียีนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่น
เสียงฝนที่กำลังตกด้านนอกหน้าต่าง ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย เธอจึงเดินไปเปิดหน้าต่าง ลมเย็นพัดเข้ามากระทบใบหน้า
ติงยียีมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างแปลกใจ ภายใต้เสาไฟในความมืดดูเหมือนจะมีเงาร่างหนึ่งยืนนิ่งอยู่
เงาสลัวนั้นยืนอยู่นอกแสงไฟ น้ำฝนตรงขอบหน้าต่างหยดลงบนหลังมือของติงยียีจนเปียก เธอสัมผัสได้ถึงความเย็น ทำให้ความสนใจของเธอถูกดึงกลับมาจากเงาที่อยู่หน้าบ้าน
“ยียี พ่อรู้สึกเจ็บขา มานวดให้พ่อที” ติงต้าเฉินพูดขึ้นมากะทันหัน เธอตอบกลับ ก่อนจะมองไปที่เงาสีดำนอกหน้าต่างเป็นครั้งสุดท้ายแล้วดึงผ้าม่านลงเดินจากไป
เย่เนี่ยนโม่เห็นเธอมองออกมาทางเขาเล็กน้อย เขามองจากตรงนี้ก็พอจะเห็นว่าเธอสวมเสื้อยืดเรียบง่ายและกางเกงหลวมๆ อยู่
“ทำไมอยู่ในวัยทำงานแล้วยังแต่งตัวเหมือนเด็กผู้ชายอยู่อีกนะ” เขายิ้มน้อยๆ ถึงแม้เขาจะรู้ว่าคนที่เขาคิดถึงคงไม่ปรากฏตัวตรงหน้าเขา แต่เขาก็ยังยืนมองอยู่อย่างนั้น จนไฟที่ชั้นหนึ่งดับลง แล้วไฟบนชั้นสองก็สว่างขึ้น เงาบางเคลื่อนไหวบนม่านสีน้ำเงินสักพัก ก่อนจะลับหายไป
“ราตรีสวัสดิ์ ติงยียี”
ท้องฟ้ามืดมน ฝนที่ตกหนัก เกิดจากผลกระทบของพายุไต้ฝุ่นที่กำลังมาถึง หลายวันมานี้เมืองตงเจียงมีฝนตกไม่หยุด
ในห้องประชุมของโรงแรมตี้เหา ผู้คนที่พลุกพล่านกับท้องถนนที่ว่างเปล่าเกิดความรู้สึกแตกต่างกันลิบลับ
วันนี้เป็นกำหนดส่งผลงานออกแบบของบริษัทหลินซื่อ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประชาสัมพันธ์งานแข่งขันนี้ หลินเจี๋ยได้เชิญนักข่าวหลายสำนักมาทำข่าวเป็นพิเศษ
ติงยียีนั่งประหม่าอยู่บนเก้าอี้ ในมือจับผลงานออกแบบของตัวเองไว้แน่น นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเอาผลงานการออกแบบของเธอให้ผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้
อ้าวเสว่ที่อยู่บนเวทียังคงมีสีหน้ามั่นใจ เธอเอ่ยพูด “ธีมของการออกแบบแหวนของฉันในครั้งนี้คือความโรแมนติก ฉันจึงใช้คริสตัลหลากสีเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่มีหลากสีสัน ตรงกลางของคริสตัลมีเพชรประดับอยู่หนึ่งเม็ด แสดงถึงความนิรันดร์ ฉัน ขอให้ดีไซเนอร์เชี่ยดูผลงานให้ เธอเองก็รู้สึกพอใจมากเช่นกันค่ะ”
อ้าวเสว่อยากเพิ่มความมั่นใจที่จะชนะ เธอจึงใช้ชื่อของเซี่ยชีหรั่นออกมาสนับสนุนด้วย แล้วก็เป็นไปตามที่คาดพอชาวดัตช์ที่อยู่ด้านล่างได้ยินว่านักออกแบบเครื่องประดับชื่อดังก็ชอบผลงานนี้ พวกเขาหันไปกระซิบกระซาบกัน พวกเขาเองก็อยากขอให้เซี่ยชีหรั่น ช่วยออกแบบแหวนให้ แต่อีกฝ่ายดังมาก แม้แต่เงาของอีกฝ่ายพวกเขาก็ไม่เคยเห็น
เสียงปรบมือดังขึ้นจากทุกคน อ้าวเสว่เดินลงบันไดมาอย่างมั่นใจ แล้วเดินไปที่ที่นั่งที่บริษัทหลินซื่อจัดไว้ให้ ติงยียีรีบลุกขึ้นยืน ในตอนที่เดินผ่านเธอ กลับมีขาข้างหนึ่งยื่นมาขวาง จนเธอสะดุดล้มลงกับพื้น
เธอลุกขึ้นอย่างเขินอาย เธอหันมองอย่างโกรธเคือง อ้าวเสว่ยกยิ้มอย่างสะใจ เหยนหมิงเย้าที่อยู่ด้านข้างเห็นรอยยิ้มของเธอ ก็อารมณ์ดีขึ้นด้วย ถึงแม้จะรู้ว่าสิ่งที่เธอทำนั้นผิด แต่ขอแค่เธอมีความสุข จะถูกหรือผิดก็ไม่สำคัญอะไรแล้ว
ติงยียีรีบขึ้นไปบนเวทีท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทารอบด้าน ตรงหัวเข่าของเธอยังคงมีเลือดไหลจากการล้มเมื่อตะกี้
เธอรวบรวมสมาธิ ก่อนจะเปิดการออกแบบและกล่องเครื่องประดับในมือออกพร้อมกัน กลุ่มฝูงชนในงานเริ่มส่งเสียงซุบซิบอย่างสงสัย
ในกล่องเครื่องประดับ มีรูปปั้นมือที่ทำขึ้นมาจากทองแดง สองมือจับมือกันไว้แน่น บริเวณข้อมือทั้งสองข้างมีเส้นใยบางๆ ผูกไว้ด้วยกัน
ติงยียีหยิบแหวนขึ้นมาสวมบนนิ้วมือ แล้วพูดว่า “พวกคุณดูสิคะ หลังจากที่ดิฉันสวมแหวนให้แล้ว สิ่งที่คนอื่นเห็นคือตรงส่วนที่เป็นตัวแหวนสีบรอนซ์ ส่วนเพชรที่มีมูลค่าแพงกลับถูกซ่อนไว้ข้างหลัง”
มีเสียงกระซิบเกิดขึ้นในหมู่ผู้ชม มีหลายคนที่ไม่เข้าใจ ตัวแหวนด้านหน้าดูมีราคาต่ำเกินไป ทำไมไม่เอาเพชรที่ดูมีราคาแพงไว้ด้านหน้ากัน
เฟ่ยหลอมองอย่างสนใจ แล้วพูดว่า “เชิญแนะนําต่อครับ” ติงยียีมองไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดลงที่อ้าวเสว่ แล้วรีบมองผ่านไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพูดเสียงดัง “เหตุผลที่ออกแบบผลงานชิ้นนี้มีสองประการค่ะ ประการแรกที่ฉันอยากจะพูดก็คือ
ความโรแมนติกเป็นสิ่งสำคัญมากก็จริง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความรักที่มีความสดใสจะค่อยๆ จางลงเหมือนตัวแหวนสีบรอนซ์ แต่จะหมายความว่าคนที่ทำให้หัวใจคุณเต้นแรงในตอนแรกเปลี่ยนไปแล้วหรือเปล่า? ไม่ค่ะ ไม่ใช่เลย พวกเขาแค่เปลี่ยนทิศทาง ไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังแทน”
ติงยียีแบฝ่ามือออก แล้วมองไปที่ผู้ชมในงาน ผู้ชมต่างนิ่งเงียบ บางคนมองนิ้วของเธอ มีบางคนจับมือของคนที่อยู่ข้างๆ แน่นขึ้น
เธอพูดต่อ “แน่นอนค่ะ ถึงแม้ความรักที่สดใหม่จะถูกซ่อนไว้ แต่สุดท้ายคู่รักก็จะจับมือกันแล้วเดินไปด้วยกันต่อไป จนถึงวันที่ได้แต่งงานกัน และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงออกแบบสองมือจับมือกันไว้ค่ะ” เธอถอดแหวนออก ก่อนจะใส่ลงในกล่องแล้วเดินลงไปจากเวที
หลังจากนั้นไม่นาน เฟ่ยหลอก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่เวที ก่อนจะหยิบกล่องใส่แหวนกล่องหนึ่งขึ้นมาจากหนึ่งในสองกล่อง แล้วพูดขึ้นมา “เราตัดสินใจเลือกการออกแบบของคุณอ้าวเสว่ครับ”
ติงยียีรู้สึกสมองของเธอว่างเปล่า เสียงปรบมือดังขึ้นจากรอบๆ ตัวเธอไม่หยุด ทำให้เธอรู้สึกเหมือนมีเธอคนเดียวที่แตกแยกจากคนอื่น
เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ไม่มีความจำเป็นที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป เธอจึงลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าอ้าวเสว่ และพูดแสดงความยินดีอย่างจริงใจ “ยินดีด้วย”
อ้าวเสว่เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะยืนเชิดหน้าเดินผ่านเธอไป ติงยียียกยิ้มแล้วเหยียดเท้าออกไป อ้าวเสว่เกือบจะสะดุดล้มลงบนพื้น เธอรีบคว้าพนักเก้าอี้เพื่อพยุงตัว ท่าทางไม่น่ามองเอามากๆ
“นี่เธอ!” อ้าวเสว่หันกลับไปมองหน้าเธออย่างโมโห ติงยียีพูดยิ้มๆ “ฉันแสดงความยินดีกับคุณที่ประสบความสำเร็จ แต่เมื่อตะกี้คุณขัดขาฉันจนสะดุดล้ม ฉันก็ต้องเอาคืนเหมือนกัน”
พอเห็นเธอซีดเผือดด้วยความโกรธ ติงยียีก็หันหลังเดินออกไป ในกลุ่มผู้ชมเกิดความวุ่นวายขึ้นทันที
“เดี๋ยวก่อนค่ะ เดี๋ยวก่อน” มีคนตะโกนเรียกเป็นภาษาอังกฤษตามหลังเธอ ติงยียีหันกลับมามองด้วยความประหลาดใจ จึงเห็นหญิงสาวชาวดัตช์หลายสิบคนเดินขึ้นไปบนเวที แล้วหยิบแหวนที่เธอออกแบบขึ้นมาดู ก่อนจะหันไปพูดกับคู่หมั้นของเธอ
เฟ่ยหลอที่ยืนอยู่บนเวทีขมวดคิ้วขึ้น คู่หมั้นของเขาดูดีใจมาก ถือแหวนของติงยียีแล้วพูดไม่หยุด ผู้หญิงคนอื่นๆ ก็คอยพูดเสริมอยู่ข้างๆ
ในมุมมองความคิดของพวกเธอ แหวนที่ติงยียีออกแบบ มันไม่ใช่แค่สิ่งของ แต่มันแสดงถึงความรักและการให้พร และบ่งบอกถึงความในใจของพวกเธอได้มากกว่า พวกเธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคู่หมั้นของพวกเธอถึงไม่เลือกแหวนวงนี้
เฟ่ยหลอมองไปที่เพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มที่ยืนอยู่ด้านล่าง ทุกคนต่างก็ยักไหล่ ภรรยาของพวกเขายืนกรานแบบนี้ พวกเขาก็ได้แต่ตามใจพวกเธอเท่านั้น
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ เราได้คิดทบทวนใหม่แล้ว ตัดสินใจเลือกผลงานของดีไซเนอร์ติงครับ” เฟ่ยหลอมองไปทางอ้าวเสว่อย่างขอโทษ
ติงยียียืนงงอยู่หน้าประตู ยืนมองผู้คนในงานมองมาที่เธอ นักข่าวคนหนึ่งหวังดีจึงเขย่าเธอเพื่อเรียกสติ จนเธอตื่นจากความฝัน แล้วยอมรับความจริงที่เธอประสบความสำเร็จแล้ว
ฝนนอกหน้าต่างยังคงตกลงมาไม่หยุด แต่อารมณ์ของคนที่ยืนมองฝนนั้นต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างขนาดกว้างที่มองเห็นบรรยากาศข้างรอบด้านได้อย่างชัดเจน ตรงนั้นเป็นสถานที่โปรดของพ่อเขา ครั้งหนึ่งพ่อของเขาเคยยืนอยู่ตรงนี้ คอยดูแม่ของเขา
“คุณชายครับ คุณติงทำสำเร็จแล้วครับ!” น้ำเสียงของเย่ป๋อดูตื่นเต้นมาก เขาถือว่าติงยียีเป็นเพื่อนของเขาคนหนึ่งเหมือนกัน
กระจกที่มีหยดน้ำฝนติดอยู่สะท้อนให้เห็นถึงรอยยิ้มบนหน้าของเย่เนี่ยนโม่ แล้วเย่ป๋อก็พูดจากด้านข้าง “คุณชายครับ คุณต้องการฉลองให้กับติงหรือเปล่าครับ”
เย่เนี่ยนโม่นิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดว่า “นายไปจัดการ”
บ้านตระกูลติง
ติงยียีกำลังใส่ชุดนอนนั่งอยู่บนเตียง บริษัทให้เธอหยุดงานสองวันเป็นรางวัล แต่ตอนนี้ เธอกำลังลังเลเพราะการ์ดเชิญที่อยู่ในมือ
เธอหยิบนาฬิกาปลุกมาวางไว้ข้างหน้าเธอ แล้วมองเวลาก็ค่อยๆ ผ่านไปช้าๆ สิบนาทีผ่านไป ครึ่งชั่วโมงผ่านไป จนเหลือเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะถึงเวลาที่เย่เนี่ยนโม่นัดเธอไปกินข้าว
จากบ้านไปถึงที่ร้านอาหารแห่งนั้นใช้เวลาถึงสี่สิบนาที ถ้าแต่งตัวออกไปตอนนี้น่าจะยังทันเวลา
ในสมองของเธอจินตนาการไปต่างๆ นานา แต่ร่างกายของเธอกลับยังนั่งอยู่บนเตียงไม่ขยับ โทรศัพท์ในมือก็ดังขึ้นมา เธอรีบกดรับสาย
“ยินดีด้วยกับความสำเร็จของงานคุณ มันเป็นข่าวดังมากเลย” เสียงของเย่ชูหวินฟังดูอ่อนแรงมาก
“ขอบคุณ” เธอพูดอย่างดีใจ เย่ชูหวินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ทราบว่าผมจะได้รับเกียรติที่จะเชิญคุณไปทานอาหารเย็นคืนนี้ไหมครับ”
เย่ชูหวินจับโทรศัพท์ไว้แน่น แม้ว่าเขาจะบอกตัวเองว่าต้องไม่เข้าใกล้ติงยียีมากเกินไป แต่พอเขาได้ยินเสียงของเธอ เขาก็อดที่จะหาโอกาสที่จะได้ไปเจอกับเธอไม่ได้ เพราะถ้ากลับไปครั้งนี้ ชีวิตของเขาไม่รู้ว่าจะเป็นหรือจะตาย
ติงยียีมองเวลาในนาฬิกาปลุก หลังจากผ่านไปแปดนาที เสียงของเย่ชูหวินก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะความคิดของเธอ เขาพูด “คงลำบากใจมากใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันไปได้” ติงยียียื่นมือไปคว่ำนาฬิกาปลุก แล้วรีบเอ่ยตอบ ในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงเพล้งดังออกมาจากปลายสาย เธอจึงรีบถาม “ชูหวินคะ?”
“ผมไม่เป็นไร งั้นตกลงตามนี้นะ เดี๋ยวผมส่งชื่อสถานที่ให้คุณทีหลังได้ไหม” เสียงของเย่ชูหวินขาดๆ หายๆ พอพูดจบก็รีบกดวางสายไป
ติงยียีวางสายด้วยท่าทางงุนงง ในใจรู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดี เธอมองสายฝนที่ตกหนักและท้องฟ้าที่มืดมนด้านนอกหน้าต่าง ทำให้เธอไม่สามารถนั่งเฉยๆ ได้อีกต่อไป จึงรีบลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset