สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1478 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1378

เย่ป๋อมองดูการจราจรที่ติดขัดบนถนนแล้วบ่นพึมพำ “เมื่อไหร่ฝนบ้าๆ นี้จะหยุดตกสักทีนะ”
ในรายการวิทยุ ผู้ดำเนินรายการรายงานข่าวสารอย่างเชื่องช้า “พายุไต้ฝุ่นจะเคลื่อนตัวเข้ามาในช่วงตีสี่ของเช้าวันนี้ ด้วยความเร็วประมาณสิบห้ากิโลเมตรต่อชั่วโมง ขอให้ประชาชนเตรียมพร้อมและห้ามออกเดินทางในช่วงนี้”
เย่ป๋อที่กำลังเพิ่มเสียงของวิทยุ ก็เห็นร่างหนึ่งกางร่มวิ่งออกมาจากซอย
เขารีบขับรถตามอย่างรวดเร็ว เดิมทีเขาก็กำลังมารับติงยียี แล้วตอนนี้เขาก็คิดว่าติงยียีกำลังจะไปตามนัด ดังนั้นเขาจึงรีบกดแตรรถเพื่อเรียกติงยียี
ฝนตกหนักมาก เขาทำได้เพียงขับรถตามหลังไปช้าๆ และเห็นติงยียีขึ้นแท็กซี่คันหนึ่งไป
ช่างมันเถอะ ถึงแม้จะรับคุณติงไม่ทัน แต่ขับรถตามหลังเธอไปและไปที่ร้านอาหารก็ไม่เป็นไร เย่ป๋อคิดในใจ
เขาขับรถตามหลังแท็กซี่ไป หลังจากขับรถตามหลังมาระยะหนึ่งถึงพบว่ามันไม่ใช่ทางไปที่ร้านอาหาร ร้านอาหารตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองตงเจียง แต่รถแท็กซี่กลับขับรถมุ่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือแทน
เขาไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของติงยียี เขาจึงต้องหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วโทรหาคุณชายของเขาแทน ในตอนที่เขากำลังก้มหน้าลง มีรถคันหนึ่งขับสวนเล​นมา รอจนเขารู้สึกตัว รถทั้งสองคันก็หักหลบไม่ทันแล้ว
ติงยียีรีบไปที่โรงแรม เธอมาถึงหน้าห้องที่เย่ชูหวินพักอยู่ เธอกดกริ่งหน้าประตูอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากข้างในห้องเลย ทำให้หัวใจของเธอก็หนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ
“เย่ชูหวิน!” เธอตบประตูอย่างร้อนใจ ทั้งตบประตูไปด้วยตะโกนเรียกไปด้วย ทันใดนั้นเองประตูห้องก็เปิดออกมา เธอยืนอึ้งอยู่กับที่ มือยังคงทำท่าเคาะประตูค้างอยู่
“เกิดอะไรขึ้น?” เย่ชูหวินสวมเสื้อสเวตเตอร์ สีหน้าของเขาซีดเซียวเล็กน้อย พอเห็นเธอเขารู้สึกดีใจเล็กน้อย
ติงยียีมองรอยยิ้มของเขา แล้วรู้สึกอายมาก ทำไมเธอถึงคิดว่าเขาจะตกอยู่ในอันตรายกันนะ? แล้วยังวิ่งมาหาแบบนี้มันดูไม่ดีเลย
“เข้ามาก่อนสิครับ” เย่ชูหวินยกยิ้ม แล้วเปิดประตูให้เธอเข้าไปข้างใน เขารีบเดินไปที่โซฟาก่อน แล้วใช้หมอนอิงทับขวดยาบนโซฟาเอาไว้
“ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มห้าสิบแล้ว ผมได้ข่าวมาว่าวันนี้มีพายุไต้ฝุ่น คุณจะพักอยู่ที่นี่สักคืนไหม?” ใบหน้าซีดของเย่ชูหวินแดงขึ้นมาเล็กน้อย เขาตั้งตารอรอฟังคำตอบที่เขาอยากจะได้ยิน
“ไม่ดีกว่าค่ะ พ่อฉันยังอยู่ที่บ้าน ฉันเป็นห่วงท่าน” ติงยียีตอบปฏิเสธ ในใจสะดุ้งเล็กน้อย สองทุ่มห้าสิบเลยจากเวลาที่เย่เนี่ยนโม่นัดเธอกินข้าวมาหนึ่งชั่วโมงแล้ว
ในห้องอาหาร แสงอ่อนๆ ส่องไปทางดอกไม้ที่ประดับอยู่เต็มห้อง ร้านอาหารที่ควรจะมีลูกค้าเต็มร้านตอนนี้กลับมีเพียงผู้ชายคนเดียว
พนักงานเสิร์ฟเดินไปหาเย่เนี่ยนโม่อีกครั้ง แล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าจะให้รออีกสักครู่ค่อยยกอาหารมาเสิร์ฟใช่ไหมคะ?”
เย่เนี่ยนโม่พยักหน้า พนักงานเสิร์ฟจึงเดินจากไป แล้วบรรยากาศทั้งร้านก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง นักไวโอลินยืนเกร็งอยู่ด้านข้าง เขาถือว่าเป็นนักไวโอลินที่พอจะมีชื่อเสียงในแวดวงอยู่บ้าง มีหลายคนที่อยากจะจ้างเขาไปเล่นตามที่ต่างๆ เพื่อแลกกับรอยยิ้มของสาวงาม วันนี้เป็นช่วงเวลาที่น่าขายหน้าที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว ด้วยค่าจ้างหนึ่งพันหยวนต่อชั่วโมง เขาทำได้แค่ยืนรอเท่านั้น
เย่เนี่ยนโม่เขย่าไวน์แดงในแก้ว ความคิดของเขาเริ่มหวาดหวั่น หรือว่าเธอจะตกอยู่ในอันตราย? หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุทำให้เธอไม่สามารถมาทันเวลาได้กัน?
เขายิ่งคิดยิ่งเป็นห่วง ในเวลานี้เองก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงของเย่ป๋อ “คุณชายครับ ผมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์นิดหน่อยครับ แต่ผมจัดการได้ทันท่วงที แล้วอีกอย่างนะครับ ตอนนี้คุณติงยียีอยู่ที่โรงแรมแมดเซนครับ”
เย่เนี่ยนโม่กดวางสาย วางมือบนที่วางแขน แล้วเคาะเบาๆ ก่อนจะมีรอยยิ้มเยาะเย้ยก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา เขาดื่มไวน์ในแก้วจนหมด ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว จนเหลือเพียงร้านอาหารที่ว่างเปล่ากับนักไวโอลินที่ยืนงงอยู่กับที่เท่านั้น
ในโรงแรม เย่ชูหวินใช้ไอโอดีนช่วยติงยียีฆ่าเชื้อตรงบาดแผลที่หัวเข่าของเธอ กลัวว่าเธอจะเจ็บ เขาจึงฆ่าเชื้อพร้อมกับช่วยเธอเป่าไปด้วย
ติงยียีรู้สึกเย็นๆ เธอมองดูใบหน้าด้านข้างที่จริงจังของเย่ชูหวิน แล้วรู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก ผู้ชายคนนี้ยังคงอบอุ่นอ่อนโยนมาก แม้ว่าเขาจะเป็นคนขอเลิกรากับเธอ แต่เธอก็ไม่เคยรู้สึกเกลียดเขาเลย
เงาของต้นไม้นอกหน้าต่างโยกไปมาอย่างรุนแรง เย่ชูหวินดึงเธอลุกขึ้นยืน เอาเสื้อคลุมมาใส่แล้วเดินออกไป “ฉันจะพาคุณกลับไปส่งที่บ้าน”
ติงยียีเหลือบมองนาฬิกา แล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เธอเดินตามหลังเขาไป แต่เพิ่งเดินออกจากประตูก็ชนเข้ากับแผ่นหลังของเย่ชูหวินที่ยืนนิ่งที่หน้าประตู
เย่ชูหวินขยับออกเธอถึงได้เห็นคนที่ยืนอยู่ข้างประตู ร่างกายของเธอก็แข็งทื่อ สองมือไม่รู้ว่าจะวางมือไว้ที่ไหนดี เย่เนี่ยนโม่กำลังยืนกอดอกเอนหลังพิงกำแพง พอเห็นเธอก็ยกยิ้มบาง
“คุณมาทำอะไรที่นี่คะ?” ติงยียีเดินมาขวางตรงหน้าเย่ชูหวินอย่างปกป้อง เธอรู้สึกว่าตอนนี้สภาพร่างกายของเย่ชูหวินจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เย่เนี่ยนโม่ยืนดูการกระทําของเธอ ก่อนที่ในแววตาจะปรากฏให้เห็นถึงความเสียใจ เธอไม่เชื่อใจเขา คิดว่าเขาจะทำอะไรกับเย่ชูหวินอย่างนั้นสินะ? ท่าทางปกป้องลูกตัวเองของเธอ เขาควรจะหัวเราะหรือหงุดหงิดดี?
เขายืนตรง สบตาเข้ากับแววตาระวังตัวของเธอ แล้วพูดเสียงเรียบ “รีบกลับบ้านซะ”
ติงยียีมองเขาหมุนตัวกลับไปด้วยโดยไม่แยแส แรงกดมาจากไหล่ของเธอ เย่ชูหวินวางไหล่ไว้บนไหล่ของเธอ เพื่อปลอบโยนเงียบๆ
ทันใดนั้นเอง เย่เนี่ยนโม่ก็หันกลับมามองเธอ แล้วถามว่า “คืนนี้คุณเคยคิดที่จะไปตามที่นัดกันไหม?”
เธอตกตะลึง แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้า เขาพยักหน้ารับรู้ แล้วหันหลังเดินจากไป ก้าวเดินอย่างสุขุม แต่ร่างของเขาดูโซเซเล็กน้อย พอเห็นเขาเดินลับไป ติงยียีรู้สึกสับสนวุ่นวายใจมาก ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง
เย่ชูหวินดึงเธอไว้ เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา แต่ในแววตาของเธอกลับไม่มีเขาอยู่ในนั้นเลย เขาถอนหายใจออกมา เย่ชูหวินรู้ว่าตัวเองได้ถอนตัวจากชีวิตของติงยียีอย่างสมบูรณ์แล้ว เขาปล่อยมือของเธอ แล้วพูดว่า “ทางจะกลับบ้านไม่ใช่ทางนี้ครับ”
ลม ยังคงพัดไม่หยุด เย่เนี่ยนโม่นอนเหม่ออยู่บนเตียงพร้อมกับกดรีโมทคอนโทรลไปมา หน้าต่างถูกลมพัดจนเกิดเสียงโครงเครง เศษใบไม้ปะปนกับเม็ดฝนติดอยู่ที่หน้าต่าง แล้วพัดผ่านไป
มีเสียงฟ้าผ่ามาจากที่ไกลๆ จนเกิดเป็นเสียงดัง เขาหันไปมองทิศทางนั้นด้วยความประหลาดใจ แล้วได้ยินเสียงพ่อบ้านกำลังจัดคนทำความสะอาดเศษใบไม้และต้นไม้ที่โดนพายุไต้ฝุ่นกับฟ้าผ่าจนล้มระเนระนาด
เขาหันกลับไปมองหน้าจอโทรทัศน์ ในโทรทัศน์พิธีกรกำลังกอดต้นไม้ขนาดใหญ่ ใบหน้าของเขาถูกแรงลมพัดจนบิดเบี้ยว พร้อมกับเอ่ยรายงายอย่างยากลำบาก “เมืองตงเจียงถูกพายุไต้ฝุ่นที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์พัดผ่าน สถานการณ์ในตอนนี้ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน ความเร็วประมาณสิบห้ากิโลเมตรต่อชั่วโมง ในขณะนี้บ้านเก่าหลายหลังถูกลมพัดถล่ม”
เย่เนี่ยนโม่มองไปทางถนนที่คุ้นเคยที่กำลังถูกลมและฝนพัดถล่ม หลังคาของบ้านหลายหลังถูกลมพัดจนแตกหักกระจัดกระจาย ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ถูกลมพัดทับบ้านหลังหนึ่ง เขารีบลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว กระวนกระวายใจจนแทบควบคุมสติไว้ไม่อยู่ บ้านหลังนั้นคือบ้านของติงยียี
พอได้สติเขาก็อยู่ในโรงรถแล้ว เขามาหยุดอยู่ตรงหน้ารถออฟโรด สตาร์ทอยู่หลายครั้งก็สตาร์ทไม่ติด เขากดสตาร์ทด้วยมือที่สั่นเทาอย่างรุนแรง พอสตาร์ทรถติด เขาก็รีบขับออกไปอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทาง ลมพัดอย่างรุนแรงผสมกับฝนตกหนัก กิ่งต้นไม้และใบไม้พัดเข้าใส่รถของเขาตลอดเวลา ทัศนวิสัยในการมองทางต่ำเกินไป เขาต้องขับรถอย่างระมัดระวังและขับช้าๆ แต่ในใจของเขากลับร้อนใจจนอารมณ์เสียมากขึ้นเรื่อยๆ
“ตึง!” ป้ายโฆษณาถูกผมพัดเข้าใส่รถออฟโรด ตัวรถสั่นขึ้นมากะทันหัน ตัวเขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างแรง แต่ถูกเข็มขัดนิรภัยดึงกลับมาซะก่อน
“เฮ้ หยุดรถก่อน!” ตำรวจจราจรที่กำลังจัดการอุบัติเหตุตรงข้างถนน พอเห็นรถเขาก็รีบบอกให้เขาหยุด แต่พอเย่เนี่ยนโม่คิดว่าติงยียีอาจติดอยู่ในบ้าน และตอนนี้กำลังรอการช่วยเหลือ อย่างสิ้นหวังเพียงคนเดียว เขาก็ยิ่งร้อนใจ เขาเหยียบคันเร่งแล้วพุ่งตรงออกไป
ในที่สุดก็ใกล้จะถึงแล้ว ในใจของเขาทั้งวิตกกังวลและเป็นห่วงมาก เขาขับรถไปเรื่อยๆ พร้อมกับโทรหาเย่ป๋อ ให้อีกฝ่ายเตรียมทีมแพทย์ไว้ให้เรียบร้อย
หลังจากกดวางสาย จู่ๆ รถก็ดับลง ระดับน้ำล้นขึ้นมาถึงยางรถยนต์แล้ว เขาทุบพวงมาลัยอย่างแรง นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเหมือนตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย จากตรงนี้ไปถึงบ้านของติงยียีต้องใช้เวลาอีกสิบนาที พายุด้านนอกยังคงพัดกระหน่ำ เขาไม่มีการลังเลใจ รีบเปิดประตูแล้วรถวิ่งไปยังจุดหมายด้วยความยากลำบาก
เย่เนี่ยนโม่รู้ว่าตอนนี้สภาพของเขาทุลักทุเลมากแค่ไหน เสื้อผ้าของเขายับยู่ยี่ ร่างกายของเขาเปียกปอน น้ำท่วมสูงเกินไป เขาจึงต้องเคลื่อนไหวช้าๆ จนในที่สุดก็มาถึงซอยเข้าบ้าน ภาพตรงหน้าเขา ทำให้เขาต้องตกใจ
หลังคาบ้านหลายหลังถูกลมพัดจนพังยับเยิน เศษซากปรักหักพังปลิวว่อนไปทั่ว เขารีบวิ่งไปที่หน้าบ้านของติงยียีอย่างร้อนใจประตูบ้านยังคงปิดสนิท มีต้นไม้ใหญ่ทับลงบนห้องนอนชั้นสองพอดี ตรงกับตำแหน่งที่เป็นห้องนอนของติงยียี บ้านครึ่งหลังถล่มลงมาแล้ว
“ติงยียี!” เขาตะโกนเรียกเสียงดัง แต่เสียงที่ตอบกลับมามีแต่ลมและฝนที่ตกหนักไม่มีที่สิ้นสุด เขาเคาะประตูสุดแรง แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ จึงรู้สึกมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย บางทีทั้งสองคนอาจจะออกไปแล้ว
“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!” เสียงสุนัขเห่าดังขึ้นจากด้านข้างของเขา แพนด้าวิ่งออกจากบ้านสุนัขที่ถูกลมพัดจนโยกเยกมาวิ่งเห่าไปรอบๆ เขา
หัวใจของเย่เนี่ยนโม่จมดิ่งลงอีกครั้ง เธอรักแพนด้ามาก ไม่มีทางทิ้งและจะไว้ที่นี่ตามลำพัง จึงมีเพียงเหตุผลเดียวที่เหลืออยู่ เธอยังติดอยู่ในบ้านหลังนี้ และอาจถูกอะไรทับจนหนีออกมาไม่ได้
“ติงยียี! ยียี!” เขาร้องเรียกอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่มีใครตอบ เย่เนี่ยนโม่ได้แต่ใช้วิธีเดิม เขาย่อตัวลงบนพื้นแล้วใช้มือเขี่ยหินด้วยมือเปล่า
เขาไม่รู้ว่าเขาทำอย่างนั้นอยู่นานแค่ไหน หินที่เขายกทิ้งไปนั้นเปื้อนเลือดจาง ๆ แต่ก็ถูกล้างออกด้วยน้ำฝน นิ้วของเขาเป็นแผลเหวอะหวะ ความรู้สึกเจ็บส่งผลกระทบต่อประสาทของเขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขายิ่งยกก้อนหินทิ้งอย่างบ้าคลั่งมากขึ้น
“ช่วยด้วย!” มีเสียงขอความช่วยเหลือดังขึ้นมาจากด้านหลัง เย่เนี่ยนโม่หันไปมอง มีชายคนหนึ่งร้องขอความช่วยเหลืออยู่บนชั้นสอง ศีรษะของเขาถูกป้ายโฆษณาปลิวใส่ จนเลือดไหลนอง เขาอยากให้เย่เนี่ยนโม่ช่วยชีวิตเขา
เย่เนี่ยนโม่เหลือบมองเขาเล็กน้อย แล้วหันหลังกลับไปเขี่ยซากปรักหักพังตามเดิม เสียงร้องขอความช่วยเหลือยังคงดังเข้ามาในหูไม่หยุด แต่เขาก็ไม่สนใจ “ติงยียี คุณอยู่ที่ไหน ยียี” เขาทุบกำปั้นลงบนพื้นอย่างหงุดหงิด ตอนนี้นอกจากติงยียีแล้ว เขาไม่สนใจใครทั้งนั้น
“คุณชายครับ!” เย่ป๋อกระโดดลงจากรถแล้วรีบวิ่งไปกางร่มให้เขา เย่เนี่ยนโม่ลุกขึ้นยืน แววตาของเขาเรียบนิ่ง แต่ก็เย็นชาจนน่ากลัว เย่ป๋อสั่นไปทั้งตัว เหมือนสายตาของคุณท่านที่จ้องมองคนอื่น
“ขุดหาเดี๋ยวนี้ ถึงต้องพลิกบ้านทั้งหลังก็ต้องหาคนให้เจอ” เย่เนี่ยนโม่พูดสีหน้าเคร่งเครียด น้ำเสียงเย็นชา บ่งบอกว่าเขาจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะเจอเธอ

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน
Status: Ongoing
สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset