สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่373สาวใช้ตัวแสบ277

ตอนที่373สาวใช้ตัวแสบ277
เย่เชินหลินเอาเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ข้างเตียงคุณแม่มานั่ง มองผู้ชายคนนั้นอย่างอ่อนโยน ก็ถือว่าถามเขาอย่างเป็นมิตร: “เมื่อก่อนคุณชื่ออะไร”
“เมื่อก่อนเขาชื่อเหยนชิงเหยียน แกฟังสิชื่อนี้เพราะขนาดไหน สมกับเป็นลูกชายของฉันจริงๆ” เหมือนฝู้เฟิ่งหยีจะกลัวสองพี่น้องปะทะขึ้นอีก รีบตอบแทน “ลูกชายคนเล็ก”
เย่เชินหลินไม่รู้ควรจะพูดอะไรอีกแล้วจริงๆ เขากลัวว่าเดี๋ยวตัวเองจะทำลายจิตใจแม่อีก แล้วเธอก็จะป่วยรุนแรงอีกครั้ง
ถึงจะสืบก็ไม่ควรถามต่อหน้าเธอมากเกินไป
“ชิงเหยียน ชื่อนี้ก็ฟังเพราะดี” เย่เชินหลินพูดชื่นชม
เหยนชิงเหยียนได้คำชื่นชมจาก “พี่ชาย” เหมือนความไม่สบายใจเมื่อกี้ก็หมดไปแล้ว
“พี่ชาย ผมจะบอกนะ ชื่อนี้เนี่ยอาจารย์ของผม และก็คือพ่อบุญธรรมของผมเป็นคนตั้งให้เอง เขาแสดงความสามารถพิเศษอยู่บนถนน ตอนที่เจอผม ผมยังเป็นเด็กขอทานอยู่เลย อายุน่าจะประมาณสิบกว่าปี ตอนนั้นผมก็ได้ทักษะเล็กๆ น้อยๆ บ้าง ความจริงก็เพื่อขอทานก็เลยฝึกนั่นแหละ เขาบอกว่าผมหน้าตาดี แล้วยังรู้สึกสงสารผมอีกด้วย ก็เลยพาผมอยู่เคียงข้างเขา หลังจากนั้นค่อยๆ ไม่มีคนชอบมาดูโชว์แล้ว แต่อาจารย์ผมก็เก่งนะ ไม่รู้ว่าเขาเข้าไปในวงการถ่ายทำหนังได้ยังไง ไปเป็นระห่ำให้เขา รายได้ไม่เยอะ แต่ก็ยังดีกว่าเมื่อก่อนตอนที่เราไปโชว์บนถนนไปเรื่อยๆ อีก”
เหยนชิงเหยียนพูดเก่งมาก เขาเกือบจะเล่าเรื่องสมัยก่อนของเขาให้หมดแล้ว แค่ไม่ได้เล่าเรื่องตอนที่เขาเล็กกว่านั้น
เย่เชินหลินนั่งอยู่ตลอด บางทีเขาพูดถึงจุดที่มีความสุข เขาก็จะตอบกลับเขาบ้าง
ฝู้เฟิ่งหยีเห็นพวกเขาคุยกันไปคุยกันมา ไม่ได้เกิดปะทะอะไรขึ้นเลย ไม่ต้องพูดถึงแล้วว่าเธอดีใจขนาดไหน
จากการสังเกตของเย่เชินหลิน เหมือนเหยนชิงเหยียนจะคิดว่าเขากับฝู้เฟิ่งหยีเป็นคนในครอบครัวจริงๆ แล้วสิ่งที่ไหลออกมาจากคำพูดของเขา เป็นความฝักใฝ่ที่ไม่ได้เจอคนในครอบครัวหลายปีมาแล้วจริงๆ นี่ทำให้เขารู้สึกแปลกมาก ถ้าเขาปลอมก็ปลอมให้เหมือนจริงแบบนี้ไม่ได้หรอก
“ผมขอไปข้าห้องน้ำแปบหนึ่ง” พูดคุยไปประมาณสองชั่วโมง เหยนชิงเหยียนก็ลุกขึ้นพูด
“ไปเถอะ!” ฝู้เฟิ่งหยียิ้มให้อย่างเมตตา เธอก็ขาดแค่ส่งเขาไปถึงห้องน้ำแล้ว
พอเหยนชิงเหยียนออกไป เย่เชินหลินจึงถามคุณแม่เสียงเบาว่า: “ทำไมผมไม่เคยได้ยินข่าวว่าแม่ไปสมัครเว็บไซด์ค้นหาญาติอะไรเลย นี่เป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว เขามีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ว่าเขาก็คือน้องชายของผม”
“เรื่องนี้ พูดแล้วมันยาวน่ะ ยังไงฉันก็ถามให้มันชัดเจนมากแล้ว อายุและประสบการณ์ของเขาฉันคิดว่าก็คล้ายกันมาก ใช่แน่นอน ไม่มีผิดหรอก แม่รู้สึกได้ แกเชื่อแม่นะ!”
“ผม…” เย่เชินหลินกำลังจะถามอีก เหยนชิงเหยียนก็กลับมาแล้ว
“หลินเอ๋อร์ ตอนกลางวันกินข้าวกับเสี่ยวห้านในบ้านนะ” ฝู้เฟิ่งหยีวางแผนไว้ จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นยิ้มพูดให้กับสองคนว่า: “ฉันจะทำกับข้าวเอง เพื่อต้อนรับการกลับมาของจื่อห้านลูกชายฉัน”
เห็นหน้าตามีความสุขของคุณแม่ ในใจของเย่เชินหลินวุ่นวายมากจริงๆ
เหยนชิงเหยียนมองด้านหลังของฝู้เฟิ่งหยีจากไป เก็บรอยยิ้มบนหน้ากลับมา มองไปที่เย่เชินหลินอย่างจริงจังมาก เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า: “คุณก็ยังไม่เชื่อใช่ไหม ไม่ต้องบอกผมก็ดูออกว่าคุณไม่เชื่อ วันนี้เจอหน้ากันแค่ครั้งเดียวเอง พูดจากใจจริงแล้ว ผมก็แน่ใจทั้งหมดเลยไม่ได้เหมือนกัน แต่ผมก็กลัวว่าถ้าเธอเป็นแม่ของผมจริงๆ แล้วผมกลับไม่ได้ให้เธอดีใจตั้งแต่แรก งั้นผมก็เป็นคนผิดแล้ว”
เย่เชินหลินเห็นคนมามากมาย แต่ไม่เคยมีความรู้สึกกับประโยคเดียวของผู้ชายคนหนึ่งมากขนาดนี้อย่างวันนี้เลยมาก่อน
“สูบบุหรี่ไหม พี่ชาย! ไม่ว่าคุณจะใช่หรือไม่ใช่พี่ชายของผม ยังไงอายุคุณก็มากกว่าผม ผมเรียกคำหนึ่ง ไม่ได้เกินไปใช่ไหม” เหยนชิงเหยียนพูดจบ ก็เอาบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงให้เย่เชินหลิน
เย่เชินหลินไม่ได้ปฏิเสธ รับมาจุดไฟขึ้น สองคนค่อยๆ สูบพ่นควันเข้าไปออกมาเรื่อยๆ เหยนชิงเหยียนเริ่มเล่าเรื่องของเขาตอนเด็ก
“ผมเคยอยู่มาแล้วหลายครอบครัวมาก บ้านที่อยู่แรกสุดคือครอบครัวชนบท ผมออกไปที่นั่นตอนสี่ขวบ พ่อแม่บุญธรรมของบ้านนั้นบอกว่าผมเดินไปที่หน้าบ้านเขาตอนกลางคืนของฤดูใบไม้ผลิปีหนึ่งเมื่อผมอายุประมาณสองขวบ ผมหิวจนเป็นลมแล้ว พวกเขาเห็นว่าผมน่าสงสาร ก็เลยรับผมไปเลี้ยง แต่ว่าบ้านเขาจนมาก หลังๆ มาเลี้ยงไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็บอกผมว่าผมอายุสี่ขวบแล้ว ให้ไปเองเลยไหม ผมไม่ยอมไป แม่บุญธรรมก็ใจอ่อนแล้ว เวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง ตอนที่ผมลืมเรื่องนี้ไปแล้ว พ่อบุญธรรมก็พาผมไปที่ที่มีคนเยอะมาก น่าจะเป็นในเมืองเล็ก ๆ…ผมก็หาเขาไม่เจอแล้ว ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่ อยากจะกลับไปแต่จำทางไม่ได้ ผมก็เริ่มร่อนเร่ตั้งแต่ตอนนั้น ไม่รู้จักเรื่องวันเวลาด้วย ไม่รู้ว่าเก็บของข้างทางมากินนานเท่าไหร่แล้ว หลังจากนั้นก็ได้เจอคนใจดีคนหนึ่ง เธออายุมากแล้ว ก็ไม่รังเกียจผมสกปรก บอกว่าไม่มีลูกแล้ว ก็พาผมกลับบ้าน ไม่ถึงสองปีเธอก็เสียชีวิตแล้ว เธอก็ได้ฝากผมให้กับญาติคนหนึ่ง ผมก็เลยไปถึงบ้านเขาอีก…”
เมื่อเหยนชิงเหยียนเล่าเรื่องเหล่านี้ก็เหมือนกับกำลังเล่าเรื่องราวของคนอื่นอย่างนั้น รวมทั้งเขาถูกพ่อแม่บุญธรรมกลั่นแกล้งและด่า ตียังไง เขาก็เล่าอย่างกับเป็นเรื่องปกติ
ขณะนี้เย่เชินหลินจึงจะใส่ใจดู บนหน้าของเขามีรอยแผลที่ไม่ถือว่าใหญ่มาก บนคอมีรอยที่เคยถูกน้ำร้อนลวก
เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าวัยเด็กของเขาอนาถจริงๆ
จากอายุที่เขาหายไปและเวลาแล้ว จะบอกว่าคนนี้เป็นน้องชายของเขาก็ตรงอยู่
แต่แค่เรื่องเหล่านี้ก็ไม่เพียงพอที่จะสามารถเป็นหลักฐานพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างเขาได้
หลังจากที่เหยนชิงเหยียนพูดจบ ดูไปทางประตูอย่างระมัดระวัง เมื่อแน่ใจว่าไม่เห็นเงาของฝู้เฟิ่งหยีจึงพูดต่ำๆ ว่า: “คุณอยากตรวจDNA ผมพร้อมไปกับคุณได้ทุกเมื่อ จะไปที่ไหน เวลาไหน คุณวางแผนเสร็จแล้วค่อยแจ้งผมอีกทีก็ได้ เบอร์โทรศัพท์มือถือของผมคือ********”
“ได้!” เย่เชินหลินตบไหล่ของเขา และก็พูดอย่างจริงใจว่า: “ขอบคุณที่นึกถึงความรู้สึกของคุณแม่ผม ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ถึงจะไม่ใช่ มันก็เป็นพรหมลิขิตระหว่างคุณกับบ้านผม จนกว่าผมจะหาน้องชายจริงๆ ของผมเจอ ผมก็หวังว่าคุณจะสามารถทำให้แม่ผมดีใจได้ตลอด ไม่รู้ว่าคุณจะตกลงไหม แน่นอนว่าผมก็จะ…”
“ไม่ต้องให้อะไรผม! ผมตกลง! เมื่อผมเห็นท่านก็รู้สึกว่าท่านเป็นแม่ของผม มีเมตตาอย่างนี้ ดีกับผมอย่างนี้ คุณไม่รู้ว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมานั้นผมขนาดหลับยังฝันถึงผมหาแม่อยู่เลย…” เหยนชิงเหยียนพูดไปๆ เสียงก็สะอื้นแล้ว เมื่อเขาเล่าเรื่องแย่ๆ ที่เขาเคยเจอมาสติของเขายังไม่หลุดแบบนี้เลย แต่ขณะนี้กลับทนไม่ไหวอีกแล้ว นึกถึงความรู้สึกของการหาพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมาหลายปีนี้ เขาหวังว่าที่นี่จะเป็นสถานีสุดท้ายแล้วจริงๆ
มีความว่าลูกผู้ชายมีน้ำตาก็ไม่ตกง่ายๆ เย่เชินหลินลุกขึ้นมาตบไหล่ของเขาหนักๆ
แต่ถึงจะซึ้งใจก็ตาม ถ้าสมมติว่าเขาไม่ใช่แผนการของใครสักคนแล้ว เขาก็ยอมถือว่าเขาเป็นพี่น้องจริงๆ ได้ แต่ในที่สุดแล้วเขาจะเป็นพี่น้องจริงๆ ไหม เขาก็ต้องรู้อย่างชัดเจน DNA ต้องตรวจอยู่แล้ว แต่เขาไม่อยากให้คุณแม่ของเขารู้ ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องถามผลแน่นอน
ตอนกลางวันเย่เฮ่าหรันก็รีบกลับมาแล้วเหมือนกัน ตอนเช้าเขามีประชุมด่วนที่หอการค้าจังหวัดจัดขึ้นซึ่งต้องเข้าร่วม พอประชุมเลิกปุ๊บก็กลับบ้านไปอย่างรีบร้อน เย่เชินหลินเจอเขาบนโต๊ะอาหาร นี่คือครั้งแรกที่ไม่ได้โกรธและเฉยชาใส่กัน
พอเย่เฮ่าหรันเห็นเหยนชิงเหยียนน้ำตาก็รินไหลอย่างตื้นตันใจ เย่เชินหลินดูแล้วก็มีความรู้สึกซึ้งใจเหมือนกัน
ดูจากนี้แล้วเขาไม่ใช่ไม่คิดถึงลูกชายของเขา แค่เขาไม่ได้แสดงออกมาให้เห็น นี่คือครั้งแรกที่เย่เชินหลินรู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเองที่มีต่อคุณพ่อ ความจริงเย่เฮ่าหรันไม่ใช่คนที่โดนหลอกง่าย แต่พอเห็น “เย่จื่อห้าน” ที่จู่ๆ ก็กลับมาบ้านเขาไม่ได้สงสัยอะไรเลย นี่หมายถึงอะไร?
หลังจากที่ทานข้าวเที่ยงเสร็จ ปกติฝู้เฟิ่งหยีจะพักผ่อน แต่วันนี้เธอไม่อยากเสียเวลาให้กับการพักผ่อน ก็ลากเหยนชิงเหยียนคุยกันตลอดเวลา
เย่เชินหลินกับเย่เฮ่าหรันอยู่เงียบๆ เนิ่นนาน เย่เฮ่าหรันจึงถามเขาว่า: “จะไปตรวจเมื่อไหร่”
“น่าจะตอนบ่าย ไปด้วยกันไหม” เย่เชินหลินถามเย่เฮ่าหรัน หลายปีแล้ว เหมือนเขาจะไม่ได้คุยดีๆ กับคุณพ่อแบบนี้สักครั้งเลย
เย่เฮ่าหรันส่ายหัว
เขาเป็นคนที่ปรากฏอยู่บนทีวีทุกๆ วัน ใครๆ ก็รู้จักเขา สถานที่แบบนี้เขาไม่สะดวกไป
“แล้วแต่เลย ผมไปกับเขาเองก็เหมือนกันหมด”
เย่เชินหลินพูดจบก็หันไปดูผมสีขาวของคุณพ่อ เขาอาจจะแก่ลงจริงๆ แล้ว
หลายปีมาแล้ว ทุกอย่างควรพอได้แล้ว ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง เขาก็จะไม่หาเรื่องคุณพ่อของตัวเองอีกแล้ว
“น่าจะเป็นผลที่ดีเนาะ?” ผ่านไปอีกเนิ่นนาน เย่เฮ่าหรันจึงค่อยๆ ถามขึ้น เย่เชินหลินจึงสังเกตได้ว่าคุณพ่อที่มีอำนาจอยู่ในวงการเมือง แก่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือเขากลัวผลจะออกมาไม่ดี
สีหน้าของเย่เชินหลินยังคงเย็นชาอยู่ แต่เมื่อเขาหันหลัง กลับพูดเฉยชาว่า: “ท่านก็ไม่ใช่ว่ามีลูกชายแค่คนเดียว กลัวอะไร”
“แก…” ในที่สุดแกก็ไม่เกลียดฉันแล้วใช่ไหม
คิ้วของเย่เฮ่าหรันดิ้นเล็กน้อย น้ำตาพรั่งพรูขึ้นมาอีกครั้ง เขาค่อยๆ นั่งลง กลั้นน้ำตาเอาไว้
เวลาประมาณบ่ายสอง เหยนชิงเหยียนบอกให้ฝู้เฟิ่งหยีว่า: “ผมอยากไปซื้อเสื้อผ้าสักกี่ตัว ให้พี่ชายพาผมไป คุณแม่พักผ่อนอยู่ที่บ้านนะ”
“ได้ ได้! เธอสองคนไปเลย! สองพี่น้องสัมพันธ์ความรักกันเยอะๆ นะ! พ่อและแม่จะรอพวกเธอกลับมาบ้านกินข้าวนะ!”
แค่ประโยคเดียวง่ายๆ เหยนชิงเหยียนฟังแล้วกลับรู้สึกแตกต่างกันเยอะมาก เพราะนั่นคือคำพูดที่เขาเฝ้ารอมาเป็นกี่ปีแล้วอ่ะ
เย่เชินหลินกับเหยนชิงเหยียนเงียบกริบตลอดทาง หลินต้าฮุยถูกเย่เชินหลินเรียกมา ให้ไปศูนย์ตรวจ DNA กับพวกเขาด้วยกัน
เนื่องจากฐานะของเย่เชินหลินไม่ธรรมดา หลินต้าฮุยจัดการเรียบร้อย ผลจะออกมาเร็วกว่าของคนปกติ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะออกมาวันนั้นเลย เย่เชินหลินหวังว่าเขาก็คือน้องชายของตัวเองจากใจจริง อย่างนี้แล้วพ่อแม่จะได้สบายใจ ไม่ต้องทรมานกับเรื่องเย่จื่อห้านอีก
ระหว่างทางที่กลับไป เย่เชินหลินได้รับสายที่พ่อบ้านโทรมา–เซี่ยชีหรั่นป่วยแล้ว
“ป่วยเป็นอะไร ให้คุณหมอสองคนดูยัง”
“ดูแล้ว ถือว่าเป็นหวัด หมอจีนบอกว่าเป็น ร้อนในขึ้น อารมณ์อึดอัดกระทบถึงตับ และอีกอย่างยังมีลมหนาวเข้าไปข้างใน” พ่อบ้านเล่ามาทีละอย่าง
“ตอนนี้เป็นไงบ้าง มีอาการอะไรไหม” เย่เชินหลินถามโดยขมวดคิ้ว
“ไข้ขึ้น!”
“ไม่ได้ใช้ยาลดไข้เหรอ”
“ใช้แล้ว เหงื่อเริ่มออกแล้ว คาดว่าเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว ตอนนี้คุณเย่จะกลับมาดูหน่อยไหม เวลาผู้หญิงอ่อนแอต้องการความห่วงใยที่สุดแล้ว”
ต้องการความห่วงใยที่สุด? ถึงเขาจะห่วงใยเธอมากแค่ไหน เธอก็ยังคงใช้ทุกวิถีทางเพื่อหลอกเขาอยู่ดี!
ยัยขี้โกหก! ไข้ขึ้นนิดๆ หน่อยๆ ถือว่าเป็นการสั่งสอนเล็กน้อยให้เธอก็แล้วกัน! เขาก็ไม่ควรจะใจอ่อนให้เธอ!

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset