สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 485 สาวใช้ตัวแสบ 389

ตอนที่ 485 สาวใช้ตัวแสบ 389
หลังจากงานหมั้นจบลง ฝู้เฟิ่งหยีก็เอ่ยขึ้นว่าอยากจะให้เย่เชินหลินและเซี่ยชีหรั่นไปอาศัยอยู่กับพวกเขา บอกว่าหากเซี่ยชีหรั่นตั้งท้องขึ้นมา เธอจะได้ดูแลเธอได้สะดวก
“ชีหรั่น ไอเด็กคนนี้ต้องไม่เต็มใจแน่นอน เธอไปกับแม่นะ ไม่ต้องไปฟังเขา” ฝู้เฟิ่งหยีจูงมือเล็กๆ ของเซี่ยชีหรั่นไว้
เซี่ยชีหรั่นเองก็ชอบความรู้สึกที่ทุกคนกลมเกลียวอยู่ด้วยกัน แต่อย่างไรก็ตามหลายเดือนที่ผ่านมานี้ใครบางคนก็มักจะรู้สึกว่าไม่ค่อยได้อยู่กับเธอสองต่อสองเลย ในที่สุดตอนนี้ก็ได้หมั้นกันแล้ว นับว่าได้ผู้หญิงสวยมาครอบครอง เขาไม่อยากถูกทุกคนห้อมล้อมอีกแล้ว
“แม่ การท้องลูกมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นหรอกนะ ที่จะบอกว่าท้องก็ท้องได้เลย?” เย่เชินหลินพูดเสียงเบา ฝู้เฟิ่งหยีจ้องเขา และพูดด้วยความโกรธ: “ทำไมถึงบอกว่าท้องแล้วท้องไม่ได้ หรือว่าแกจะมีปัญหาไม่สามารถท้องได้?”
เย่เชินหลินเกือบจะตายเพราะคำพูดของเธอ ใบหน้าของเซี่ยชีหรั่นเองก็แดงราวกับมะเขือเทศสุกงอม และเอาแต่ก้มหน้า มองพื้นด้วยความเขินอาย
“อุ๊ย!” ฝู้เฟิ่งหยีเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ และมองลูกชายอย่างรอบคอบ กวาดมองร่างทั้งร่าง
“ไอลูกชาย บอกแม่มา หรือว่าจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากเรื่องที่แกเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งก่อน เรื่องแบบนี้ไม่ต้องอายที่จะพูดออกมา ถ้ามีปัญหาแกก็ต้องไปตรวจ”
สีหน้าของเย่เชินหลินเขินอายจนแดงไปหมด แน่นอนว่าเซี่ยชีหรั่นเองก็เขินอายเหมือนกัน แต่ทว่าเมื่อนึกถึงเรื่องที่เขามักจะรังแกเธออยู่เสมอ เมื่อเห็นเธอเขินอาย เขาก็มีความสุขขึ้นมา ครั้งนี้เซี่ยชีหรั่นเองก็แอบอมยิ้มอย่างไม่ไว้หน้า เธอไม่กล้ายิ้มอย่างโจ่งแจ้ง จึงทำได้เพียงแอบยิ้มเล็กในดวงตา
ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของดวงตา แต่ก็ถูกเย่เชินหลินมองเห็นอย่างละเอียด
“แม่ จะมีปัญหาหรือเปล่าก็ลองถามเธอสิ เธอรู้ดีที่สุด” เย่เชินหลินชำเลืองมอง เซี่ยชีหรั่น และพูดอย่างลมพัดเมฆลอยบนท้องฟ้า
ใบหน้าของเซี่ยชีหรั่นยิ่งแดงมากขึ้นกว่าเดิมอีก หัวก็ลดต่ำลงมากขึ้น ด้วยจิตใจของฝู้เฟิ่งหยีที่อยากจะอุ้มหลาน จึงลืมวิเคราะห์อย่างระมัดระวังไป และเชื่อคำพูดของลูกชายจริงๆ หันสายตาไปทางเซี่ยชีหรั่นอีกครั้ง
เธอกุมมือของเซี่ยชีหรั่นไว้ “ชีหรั่น เรื่องนี้ไม่น่าอาย มันเป็นเรื่องปกติ บอกแม่มา เขา……เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่ไหม? ปกติดีใช่ไหม? พวกเธอได้ป้องกันหรือเปล่า ทำไมนานขนาดนี้แล้วยังไม่ท้องอีก? ทำเอาแม่ร้อนรนจะตายอยู่แล้ว”
เซี่ยชีหรั่นแอบค้อนเย่เชินหลินแรงแรงในใจ เงยหน้าแดงๆ ขึ้นมา มองดูแม่สามีในอนาคต เธอนั้นเขินอาย แต่ก็ทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้แม่สามีต้องเป็นกังวลในเรื่องนี้ จึงทำได้เพียงพูดเสียงเบาๆ : “แม่คะ ไม่มี เขา……” เธอกัดริมฝีปากตัวเอง ค่อนข้างยุ่งเหยิงในใจ ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายความจริงออกมายังไงดี ให้เธอวางใจ คิดไปคิดมา ก็พูดต่อ: “เขาปกติดี ฉันกำลังทานยาคุมกำเนิดแผนโบราณที่หมอห่าวให้มาค่ะ ดังนั้นจึงไม่ท้อง คุณไม่ต้องกังวลนะคะ”
“ไอเด็กบ้า!” ฝู้เฟิ่งหยีรีบดึงหูของลูกชาย และออกคำสั่ง: “กินยาคุมกำเนิดอะไรกัน? อีกหน่อยไม่อนุญาตให้คุมกำเนิดแล้ว! รีบๆ คลอดหลานให้ฉันด้วย แกก็อายุเท่าไหร่แล้ว? คนที่อายุใกล้จะ 40ปีอยู่แล้ว ถ้าแกยังไม่รีบคลอดลูกอีก หากฉันแก่แล้ว จะยังอุ้มไหวไหม?”
เขาเพิ่งจะอายุแค่ 31ปีเองหรือเปล่า? ทำไมถึงใกล้จะอายุ 40 แล้วหละ
คิ้วของเย่เชินหลินกระตุกเล็กน้อย เซี่ยชีหรั่นแหงนใบหน้าเล็กๆ มองเขาอย่างโล่งอก สมน้ำหน้า เมื่อกี้นี้ใครให้เขาทำให้เธอต้องอึดอัดใจหละ

คนคนนี้รักชื่อเสียง และหน้าตามาก เขาไม่ชอบให้คนอื่นบอกว่าเขาแก่ที่สุดเลย แต่ครั้งนี้แม่เขาเป็นคนพูดเอง เธอรู้สึกขำจะตายอยู่แล้ว

“ใช่แล้ว หลิน ดูสิ คุณเองก็อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว พวกเราอย่าทำให้คุณป้าต้องกังวลอีกเลย” เซี่ยชีหรั่นพูดขึ้นประโยคหนึ่งอย่างซ้ำเติม คราวนี้ฝู้เฟิ่งหยีกลับไม่พอใจเล็กน้อย

“ยัยเด็กคนนี้ยังจะเรียกคุณป้าอะไรอีก หมั้นกันแล้ว ก็ต้องเรียกคุณแม่สิ”

“นี่……” เซี่ยชีหรั่นมองไปที่เย่เชินหลิน ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากเรียก แต่เธอกลัวเย่เชินหลินจะบอกว่าเธอหน้าด้านเกินไปมากกว่า ว่ายังไม่ทันได้แต่งงานก็เรียกแม่แล้ว

“เรียกเถอะเรียกเถอะ แม้แต่ในความฝันเธอก็อยากจะมีลูกสะใภ้สักคนเรียกเธอว่าแม่เลย คุณก็ทำให้เธอสมหวังซะเถอะ” เย่เชินหลินพูดอย่างเย็นชา

ฝู้เฟิ่งหยีมองไปทางเซี่ยชีหรั่น และเต็มไปด้วยความคาดหวัง เธอกัดริมฝีปากแน่น จากนั้นก็เรียกเสียงหวาน: “คุณแม่!”

“โอ๊ย! เด็กดี ท่านเย่ท่านเย่ คุณช่วยมาตรงนี่หน่อย!” ฝู้เฟิ่งหยีตะโกนเรียกออกมาหนึ่งประโยค จริงๆ แล้วเย่เฮ่าหรันไม่ได้อยู่ห่างออกไปไกลเท่าไหร่หรอก เขาก็กำลังฟังที่ทุกคนคุยกันอยู่

แต่ทว่าไม่อยากแสดงท่าทางราวกับผู้หญิงขี้นินทา เขาเดินห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น เขาเองก็เหมือนกับฝู้เฟิ่งหยีที่รอคอยจะได้อุ้มหลาน ทันทีที่คลอดหลานออกมา แม้ว่าเขาจะต้องเกษียณ ก็มีเรื่องให้ทำแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเย่เชินหลินไอเด็กเวรนั่น นับตั้งแต่ที่เย่จื่อห้านออกจากบ้านไป แม้แต่คำว่าพ่อก็ไม่เคยเรียกเลยสักครั้ง เขาคิดว่าเมื่อมีหลายแล้ว จะคอยดูว่าเขาจะเรียกไหม เขากล้าที่จะไม่เรียกเหรอ

“มีเรื่องอะไรเหรอ?” เย่เฮ่าหรันถามขึ้น ราวกับว่าไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกันเลย

“คุณว่าเรื่องอะไรหละ อย่าแกล้งไม่รู้อยู่ตรงนั้นเลย ลูกสะใภ้ของเราเรียกฉันว่าแม่หละ คุณเองก็ไม่อยากได้ยินเธอเรียกว่าพ่อสักคำหรอกเหรอ?” ฝู้เฟิ่งหยีกล่าวถามขึ้นอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่นัก

เย่เฮ่าหรันกระแอม สีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย เซี่ยชีหรั่นมองเย่เชินหลิน ในบางครั้งท่าทางที่เสแสร้งแกล้งทำแบบนั้นก็ดูเหมือนกันกับพ่อของเขาไม่มีผิดเลยจริงๆ สีหน้าของเขานี้แสดงให้เห็นว่าความจริงแล้วเขาเองก็มีความคาดหวังอยู่ ในฐานะลูกสะใภ้ที่กตัญญู แน่นอนว่าเธอรู้ว่าควรจะทำยังไง

“คุณพ่อ!” ครั้งนี้เธอไม่ได้ไปขอความคิดเห็นจากเย่เชินหลินก็เอ่ยปากเรียกแล้ว

เย่เฮ่าหรันยังอยากที่จะทำหน้าบึ้งตึง แต่คราวนี้กลับทำหน้าบึ้งไว้ไม่อยู่แล้ว ตอนนี้ใบหน้าของคนชราฉีกยิ้มแป้น

ถึงแม้ว่าท่าทางของเย่เชินหลินยังคงไม่แยแส แต่อันที่จริงแล้วในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึก เพียงเรียกว่าคุณพ่อคำเดียวเท่านั้นก็สามารถทำให้เขาดีใจได้ถึงขนาดนี้ แต่คอของเขาราวกับถูกอุดไว้ ก็คืออึดอัดจนเรียกไม่ออก

แต่หวังว่าเซี่ยชีหรั่นจะเรียกคุณพ่ออีกหลายๆ ครั้ง เพื่อทำให้เขามีความสุข และเพิกเฉยต่อความเสียใจที่ลูกชายไม่กตัญญูอย่างเขา นำมาด้วยการที่ไม่ยอมเรียกเขาว่าพ่อ

“ดี! ฉลาดจริงๆ!” เย่เฮ่าหรันชื่นชมลูกสะใภ้ ในใจของเซี่ยชีหรั่นรู้สึกอบอุ่น

เธอสามารถมองออกถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของสองพ่อลูกระหว่างเย่เฮ่าหรันและเย่เชินหลิน เพียงแต่ว่าบางทีหลายปีที่ผ่านมาสองพ่อลูกคู่นี้เอาแต่เงียบใส่กัน เมื่อก่อนเย่เฮ่าหรันเคยรู้สึกผิดต่อครอบครัวนี้ และเขาก็ยังเริ่มอ่อนแอต่อเย่เชินหลินก่อน ตอนนี้เขายิ่งเริ่มจะอายุมากขึ้น ก็ยิ่งเหมือนเด็กน้อยมาก กลับกันก็เห็นความสำคัญของศักดิ์ศรีมากกว่าสิ่งไหน

เซี่ยชีหรั่นคิด เธอจะต้องหาโอกาสให้พ่อลูกทั้งสองคนปล่อยวางนิสัยเดิมตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ลง บางทีเธอควรจะคลอดลูกสักคนให้เร็วกว่านี้ นั่นคงจะเป็นสิ่งเดียวที่สามารถเชื่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาให้ดีขึ้นได้

“พวกเธอกลับไปอยู่ที่บ้านเถอะ วิลล่าไกลซะขนาดนั้น ไปทำงานก็ไม่สะดวก” เย่เฮ่าหรันกล่าว

เซี่ยชีหรั่นมองไปทางเย่เชินหลินอีกครั้ง ท่าทางของเย่เชินหลินยังคงเพิกเฉย

“รอจนกว่าเธอตั้งท้องแล้วค่อยว่ากันอีกที” คราวนี้เย่เฮ่าหรันและภรรยาไม่ได้บังคับพวกเขาแล้ว

ที่ผ่านมาเย่เชินหลินอาศัยอยู่ที่บ้านตลอด ทุกวันตอนเย็นก็มักจะไปรายงานตัวที่บ้านตระกูลหลี่เสมอ พวกเขาเองก็ดูออกว่าลูกชายพึ่งพาเซี่ยชีหรั่นมากแค่ไหน ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกัน แน่นอนว่าต้องอยากจะได้ใช้ชีวิตด้วยกันสองคนบ้าง

นอกจากนี้ หากไม่มีสายตาของคนชราอย่างพวกเขาคอยจ้องมอง พวกเขาอยากตั้งครรภ์ สภาพจิตใจอาจจะดีมากกว่านี้ บางทีมันอาจจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ได้

ในตอนที่พวกเขากำลังจะแยกย้ายกันไป เซี่ยชีหรั่นถึงได้พบว่า ยังไม่เห็นเหยนชิงเหยียนปรากฏในงานหมั้นเลย แม้แต่จิ่วจิ่วก็ไม่เห็น

“เย่จื่อห้านหละ? แล้วก็จิ่วจิ่วด้วย พวกเขาไม่ได้มา?” เซี่ยชีหรั่นถามเย่เชินหลิน

“พวกเราอยู่นี่ไง!” ทันทีที่สิ้นเสียงพูดของเซี่ยชีหรั่น ก็เห็นจิ่วจิ่วและเหยนชิงเหยียนเดินลงมาจากบนเรือสำราญ

เย่เชินหลินถึงจะอธิบายกับเซี่ยชีหรั่นว่า ขนมทั้งหมดในงานหมั้นของพวกเขาเป็นฝีมือของเหยนชิงเหยียน และจิ่วจิ่วก็คอยเป็นลูกมือให้เขาอยู่ข้างๆ

“ลำบากพวกคุณแล้ว!” เซี่ยชีหรั่นกล่าวกับเหยนชิงเหยียนและจิ่วจิ่วด้วยความจริงใจ

ปากเล็กๆ ของจิ่วจิ่วมุ่ย พูดอย่างจู้จี้: “ไม่ลำบากหรอก คุณชายและคุณนายหมั้นกันทั้งที ฉันสามารถช่วยอะไรได้ก็ดีใจมากแล้ว เพียงแต่ว่าถูกใครบางคนดุจนเป็นสุนัขนองเลือดก็เท่านั้น ฉันขอสาบานเลยว่าต่อไปจะไม่มีทางเป็นลูกมือให้ใครบางคนอีกแน่นอน เพราะมันคือความทุกข์ชัดๆ!”

พูดจบ จิ่วจิ่วก็ยังจ้องเขม็งไปที่เหยนชิงเหยียนอีก เขาหัวเราะออกมาอย่างไร้เดียงสา โบกมือกับพี่สะใภ้ และพูดขึ้น: “ผมไม่ได้รังแกเพื่อนคุณนะ เธอต่างหากที่……”

เขาอยากจะพูดว่าเธอต่างหากที่โง่เกินไป แต่ทว่าหลังจากนั้นก็ตระหนักได้ว่าคำพูดนี้ไม่ควรพูดออกมาเรื่อยเปื่อย พูดจบผู้หญิงที่มีลักยิ้มขนาดใหญ่ และอารมณ์ที่แปรปรวน คาดว่าจะไม่จบเรื่องง่ายๆ

“คุณยังจะพูดอีก! ฉันจิ่วจิ่วก็เป็นผู้ช่วยเชฟที่มืออาชีพเหมือนกันนะ ไม่เคยมีใครกล้าพูดถึงนิสัยของฉัน มีแค่คุณแหละที่มีตาหามีแววไม่ อะไรนะไข่ไม่สามารถทำแบบนี้ เวลาไม่พอ อะไรนะแป้งไม่ได้ร่อนแบบนั้น……บ้าเอ๊ย มีตาหามีแววไม่”

ผู้ช่วยเชฟที่มืออาชีพหมายถึงอะไร? พวกเขาต่างก็ไม่เข้าใจ คงจะเป็นการประเมินตนเองของคุณผู้หญิงจิ่วจิ่วมากกว่า

เย่เชินหลินและเซี่ยชีหรั่นยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน และก็ไม่ได้บอกว่าพวกเขาใครถูกใครผิด เพียงแค่ยืนมองดูเฉยๆ ในใจมีแผนขึ้นมา……

เย่เฮ่าหรันและภรรยาก็ไม่ได้พูดอะไร พวกเขาดูท่าทางของทั้งสองคนนี้ก็เหมาะสมกันดี

“ก็ได้ ผมยอมรับ ว่าผมมีตาหามีแววเอง พอใจหรือยัง?” เมื่อเหยนชิงเหยียนพูดแบบนี้ จิ่วจิ่วก็กลับเขินอายขึ้นมา

สีหน้าเธอแดงก่ำ จากนั้นเขาก็บ่นเบาๆ : “ก็ดี ฉันเองก็ได้เรียนรู้มาจากคุณนิดหน่อย อีกหน่อยฝีมือผู้ช่วยเชฟมืออาชีพของฉันก็คงจะสูงขึ้นมาไม่น้อย”

ครั้งนี้ ที่เย่เชินหลินตั้งใจจัดการให้จิ่วจิ่วไปช่วยงานเหยนชิงเหยียน ก็มีแผนอยู่บ้างเหมือนกัน

ไห่ฉิงฉิงและโม่เสี่ยวจุนจะมา เมื่อเหยนชิงเหยียนเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกัน ในใจก็รู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย จิ่วจิ่วเองก็ชอบโม่เสี่ยวจุน เรื่องนี้เย่เชินหลินก็รู้อยู่เหมือนกัน เมื่อเหยนชิงเหยียนเอ่ยปากบอกว่าจะช่วยพวกเขาทำเค้กเอง เย่เชินหลินก็ตอบรับทันที และจัดการให้ทั้งสองคนไปอยู่ที่ห้องครัวด้านหลัง แต่ก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะสร้างประกายดอกไม้ไฟอะไรออกมาได้

แม้ดอกไม้ไฟตรงหน้าจะดูเหมือนไม่ใช่ความรัก แต่ทว่าก็ยังดีกว่าการที่ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย

เขายังจำได้ครั้งแรกที่เขาเจอเซี่ยชีหรั่น ก็มีความรู้สึกรังเกลียดเธอเล็กน้อย มันก็คือความเกลียดที่อธิบายไม่ถูก อยากจะทรมานเธอ ฉีกหน้าเธอ สุดท้ายในเวลาเดียวกันกับตอนที่ศึกษาเธอ ก็เริ่มตกหลุมรักเธอ จะเห็นได้ว่าโชคชะตาระหว่างผู้คนนั้นน่าอัศจรรย์

“เสี่ยวห้าน อีกหน่อยก็มาเที่ยวที่บ้านฉันบ่อยๆ นะ ช่วยสอนให้ผู้ช่วยเชฟที่เก่งที่สุดในวิลล่าของเรา กลายเป็นเชฟทำขนมเค้กที่เก่งด้วยเถอะ” เซี่ยชีหรั่นพูดขึ้นเสียงเบา ใบหน้าของจิ่วจิ่วเริ่มแดงขึ้นอีกครั้ง เซี่ยชีหรั่นเองก็กระตุกยิ้ม

ที่ผ่านมาตระกูลเย่ไม่เคยมองคนที่ชาติตระกูล ถึงแม้ว่าจิ่วจิ่วจะเป็นเพียงสาวใช้ในวิลล่าของตระกูลเย่ แต่เย่เฮ่าหรันและภรรยาก็ชอบเธอมาก

หน้าตาของเธอสวยมาก ท่าทางดูน่ารักอ่อนหวาน แค่เห็นก็ทำให้ผู้คนตกหลุมรัก และยังจิตใจดีมาก

ถ้าหากว่าเธอและเหยนชิงเหยียนสามารถอยู่ด้วยกันได้ พวกเธอต่างก็มองโลกในแง่ดี

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset