สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 490 สาวใช้ตัวแสบ 394

ตอนที่ 490 สาวใช้ตัวแสบ 394
โม่เสี่ยวหนงใจร้อนมาก เอาแต่ส่ายหน้า
“ไม่แปลกที่เธอไม่เข้าใจ เธอดูคนที่เธอแต่งงานด้วยก็จะรู้เอง ต้องเรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จจริง ถึงจะเรียนรู้ได้ถึงประสบการณ์จริง คนที่แกแต่งงานด้วย ดูก็รู้ว่าเป็นเพียงความล้มเหลวทั้งหมด ถ้าแกได้แต่งกับประธาน รองประธานอะไรแบบนั้น ฉันจะต้องมาเสียแรงแบบนี้เหรอ? ไม่พูดแล้วไม่พูดแล้ว ฉันฉลาดกว่าแก รู้ว่าควรจะทำยังไง”
เธอรู้สึกว่าจะต้องไม่ไปกระตุ้นความระมัดระวังของเซี่ยชีหรั่นและเย่เชินหลิน เธอจึงต้องกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน ควรทำยังไงก็ทำอย่างนั้น จะต้องเป็นคนโง่ และไร้เดียงสา
วิธีการของเธอดูเหมือนจะใช้งานได้จริง อย่างน้อยเซี่ยชีหรั่นก็มองไม่ออกว่าเธอคิดจะทำอะไร
เธอสำหรับเธอแล้ว ก็แค่น่าเบื่อ และกลัวว่าเธอที่เพิ่งแท้งไปไม่กี่เดือน อารมณ์ยังไม่ฟื้นตัว กล้าแม้กระทั่งพูดจาเสียงดังกับเธอ พูดกับเธอก็ต้องอ่อนหวาน
เย่เชินหลินได้ทำการเปลี่ยนแปลงตึกชั้นหนึ่งไปมาก ห้องที่เมื่อก่อนเซี่ยชีหรั่นพักอยู่ และห้องที่ ฟางลี่น่าพักอยู่ เปลี่ยนมาทำเป็นห้องแต่งตัวของเซี่ยชีหรั่นทั้งหมด
ที่นี่เป็นเหมือนสวรรค์ของโม่เสี่ยวหนง เธอมักจะเข้าไปรื้อค้นอยู่ด้านในเกือบจะทุกวันเป็นเวลานาน
เหล่าคนใช้ทนดูไม่ได้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อเธอทำยุ่งจนหมด พวกเธอก็ต้องไปตามเก็บอย่างเงียบๆ
แน่นอนว่าหากเซี่ยชีหรั่นอยู่ ก็ต้องเป็นเธอที่ต้องทำความสะอาดด้วยตัวเอง เธอนั้นเกรงใจที่น้องสาวของตัวเองไปทำให้คนอื่นเดือดร้อน
เซี่ยชีหรั่นเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว ด้านในเป็นอย่างที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด ยุ่งเหยิงไปหมด เสื้อผ้าหลากหลายสีสันถูกโม่เสี่ยวหนงวางเรี่ยราดเต็มไปหมดทุกที่ ยังมีรองเท้า กระเป๋า เมื่อเธอลองเสร็จก็ทิ้งเอาไว้ตรงนั้น
“เสี่ยวหนง เธอเลือกเสร็จหรือยัง? ถ้าเลือกเสร็จแล้ว ฉันขอมาเก็บกวาดหน่อยนะ เธอกลับไปที่ห้องเถอะ”
“ยังเลยค่ะ พี่ ฉันยังเลือกชุดที่เหมาะจะไปออดิชั่นอยู่เลย”
“ออดิชั่น? ไปออดิชั่นที่ไหน?” เซี่ยชีหรั่นชุดชะงักลง มองดูเธอด้วยความกังวล
“โอ๊ย ไม่คุยกับพี่แล้ว พูดไปคุณก็ไม่รู้อยู่ดี ก็เพราะว่ามีกองถ่ายหนึ่งไปรับสมัครนักแสดงที่โรงเรียนของฉัน ฉันจะเลือกเสื้อผ้าแล้ว อย่ามาทำให้ฉันต้องเสียเวลา!” โม่เสี่ยวหนงถอดชุดเดรสอกกว้างบนร่างแล้วโยนทิ้งไว้ตรงนั้น และก็ไม่กลัวว่าพวกเธอจะมอง ร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าเลย จากนั้นก็เข้าไปหาชุดใหม่ที่ตู้เสื้อผ้าแล้ว
“ไม่ได้นะ เสี่ยวหนง เรื่องนี้เธอจะต้องคุยกับฉันอย่างละเอียดก่อน ก่อนถ่ายอะไรมันมักจะเต็มไปด้วยพวกนักต้มตุ๋นนะ เธอเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ ถ้าเธอไม่บอกฉัน แล้วเกิดถูกหลอกขึ้นมาจะทำยังไง?”
“โถ่เอ๊ย ฉันว่านะพี่ พวกนักต้มตุ๋นจะไปมีมากมายอะไรขนาดนั้นกัน? คุณคิดว่าทั่วทั้งโลกเต็มไปด้วยพวกนักต้มตุ๋นหรือยังไงกัน! ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไม่ต้องออกจากบ้านกันพอดี กินข้าวก็สามารถเจอนักต้มตุ๋นได้ นอนโรงแรมก็สามารถเจอนักต้มตุ๋นได้ พอแล้วพอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว เดี๋ยวฉันเลือกเสื้อผ้าเสร็จ ยังนัดเพื่อนไว้เพื่อไปซ้อมการออดิชั่นด้วย” โม่เสี่ยวหนงคว้าชุดราตรีสีดำคอกว้างมาอีกตัว ลองทาบดูสักพัก รู้สึกว่าแก่ไปนิด จากนั้นก็โยนไปที่มือของเซี่ยชีหรั่น และไปหยิบตัวอื่น

เซี่ยชีหรั่นก็ยังไม่วางใจ รู้ว่าถ้าพูดไปเธอต้องโกรธแน่ แต่เธอก็จำเป็นต้องพูด ตอนนี้เธอจู้จี้ เธอน่ารำคาญ แต่มันดีกว่าเสียใจทีหลังหากเธอถูกหลอก

“เธอบอกกับพี่สิ เป็นกองถ่ายจากที่ไหน เดี๋ยวฉันให้พี่เขยเธอลองถามดู ถ้ามีคุณสมบัติจริงเธอค่อยไป แต่ถ้าไม่มีคุณสมบัติ……”

“พอแล้ว! ทำเหมือนว่าฉันเป็นเด็กสามขวบไปได้? ฉันจะขอให้พี่เขยช่วยฉันทุกเรื่องได้ยังไง เดี๋ยวพวกคุณก็คิดว่าหากฉันไม่มีพวกคุณก็ไม่สามารถอยู่รอดได้อีก ฉันโม่เสี่ยวหนง ไม่มีทางทำตัวเหมือนคนที่ไม่มีกระดูกแบบนั้นเด็ดขาด ฉันจะไปด้วยตัวเอง ฉันไม่เชื่อหรอกว่าบนโลกใบนี้จะมีนักต้มตุ๋นมากมายขนาดนั้น!”

โม่เสี่ยวหนงหัวแข็งขึ้นมาอีกครั้ง เซี่ยชีหรั่นกลัวเธอที่เป็นแบบนี้มากที่สุด

เธอจำได้ว่าตอนนั้นเธออยู่กับผู้ชายคนนั้นที่แต่งงานแล้ว ไม่ว่าเธอจะเกลี้ยกล่อมยังไงเธอไม่ฟัง

เซี่ยชีหรั่นถอนหายใจยาวๆ จากนั้นก็ดึงแขนของโม่เสี่ยวหนง พูดอย่างอดทน: “พี่เชื่อเธอนะ ว่าจะต้องทำได้แน่ ระวังไว้หน่อยก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ผู้กำกับพวกนั้นที่เธอว่า มีมากน้อยก็เป็น……เธอเองก็ไร้เดียงสาเกินไป พี่ไม่มีทางทำร้ายเธอหรอก เธอจะต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด อย่าเอาแต่ใจอีกเลย”

“อะไรที่เรียกว่าเรียนรู้จากความผิดพลาด?” ทันใดนั้นโม่เสี่ยวหนงก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เธอมองเซี่ยชีหรั่นอย่างจริงจังและตะโกนว่า: “ความหมายของคุณก็คือฉันเคยเจอนักต้มตุ๋นมาก่อนเหรอ? ฉันเคยเจอนักต้มตุ๋นตั้งแต่เมื่อไหร่?”

เมื่อเธอตะโกนแบบนี้ เซี่ยชีหรั่นถึงได้รู้ว่าตัวเองใจร้อนเกินไป พูดอะไรที่ทำให้เธออ่อนไหวออกไป จิ่วจิ่วก็อยู่ในห้องด้วย ความเชื่อมั่นในตัวเองของเธอคงจะได้รับบาดเจ็บ

“ไม่ใช่นะ พี่ไม่ได้หมายความแบบนั้น ก็ได้ เธอลองดูสิว่าชอบใส่ชุดไหนกัน ต้องซ้อมอะไร รอเธอซ้อมเสร็จแล้ว ก็แสดงให้พวกเราดูหน่อย ตอนที่ไปออดิชั่น เดี๋ยวฉันไปกับเธอเอง”

“นี่ค่อยว่าไปอย่าง นี่ถึงจะเป็นพี่สาวของฉัน!” โม่เสี่ยวหนงเดี๋ยวก็ลมเดี๋ยวก็ฝน ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง

เมื่อเห็นเธอยิ้มออก รังรับปากว่าจะให้เธอไปด้วย เซี่ยชีหรั่นถึงได้โล่งใจเล็กน้อย

เธอเก็บเสื้อผ้าที่ถูกโยนลงบนพื้นขึ้นมาทีละตัว จิ่วจิ่วก้มลงช่วยเธอเก็บกวาด

“ไม่เป็นไร จิ่วจิ่ว ให้ฉันทำเอง”

“คุณนายหญิง ตอนนี้คุณอยู่ในฐานะอะไร เรื่องแบบนี้คุณจะทำเองได้ยังไง? ถ้าคุณเย่รู้เข้า ผู้ช่วยอย่างฉันคงต้องถูกดุแน่”

พวกเธอก็เก็บกวาดของพวกเธอไป พวกเธอก็พูดของพวกเธอไป โม่เสี่ยวหนงทำราวกับว่าไม่ได้ยิน

เธอเลือกอยู่ครึ่งวันก็เลือกไม่ได้ จากนั้นก็ไปอีกห้องหนึ่ง ปล่อยที่นี่ไว้ให้พวกเขาค่อยๆ จัดเรียง

เมื่อได้ยินสียงฝีเท้าของโม่เสี่ยวหนงห่างออกไปไกลแล้ว จิ่วจิ่วจึงจะกระซิบเบาๆ : “คุณดีกับเธอมากเกินไปแล้ว ราวกับว่าติดหนี้เธอเลย เธอไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ของคุณเสียหน่อย ทำไมคุณถึงต้องตามใจเธอแบบนี้ตลอดเลย?”

เซี่ยชีหรั่นรู้ว่าจิ่วจิ่วนั้นพูดถึงการลำเอียงของเธอ เธอก็แค่ยิ้มตอบเล็กน้อย แล้วพูดขึ้น: “ถ้าบอกว่าติดหนี้เธอ ฉันเองก็นับว่าติดจริงๆ แหละ เดิมตระกูลโม่ก็มีแค่เธอคนเดียว ฉันกับเสี่ยวจุน แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะน้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี พวกเรานั้นแย่งทรัพย์สินของเธอไปส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ พ่อแม่ฉันมองเสี่ยวหนงออก เพราะยังไงเธอก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ฉันกับเสี่ยวจุนต้องขอบคุณพวกเขา ถ้าไม่มีพวกเขา ฉันก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะถูกคนแบบไหนรับไปเลี้ยง บางทีอาจจะเลวร้ายกว่าที่ฉันเจอตอนนี้ซักร้อยเท่าก็ได้ พวกเขาก็อายุมากแล้ว ฉันก็อยู่ไกล ไม่สามารถกตัญญูอะไรต่อพวกเขาได้ ถ้าสามารถช่วยเสี่ยวหนงทำอะไรได้ ก็คิดซะว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณเถอะ”

“ฉันว่าเธอก็คงจะไม่ได้รู้สึกขอบคุณสักเท่าไหร่หรอก แม้แต่สายตาที่เธอมองคุณเย่ก็ยังไม่ปกติเลย” ยังไงซะจิ่วจิ่วก็รู้สึกว่าโม่เสี่ยวหนงไม่ดี มักจะสร้างปัญหาให้เซี่ยชีหรั่นอยู่เสมอ ต้องขอบคุณที่เธอนิสัยดี เธออาจโกรธเธอ แม้แต่เพื่อนสนิทของเธอคนนี้ก็ทนดูไม่ได้แล้ว

“เสี่ยวหนงไม่มีทางมีเจตนาร้ายหรอก เธอก็มักจะมองคนแบบนั้นแหละ มองใครก็เหมือนๆ กันหมด”

“ก็ได้ ยังไงซะฉันก็เตือนคุณแล้ว คุณจะต้องระวังไว้หน่อยนะ ไม่ต้องพูดถึงว่าไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ เลย ถึงเป็นน้องสาวแท้ๆ ก็แย่งพี่เขยได้ มีเยอะแยะถมเถไป” จิ่วจิ่วย้ำอีกครั้ง

“จิ่วจิ่ว อีกหน่อยไม่ต้องพูดคำนี้อีกนะ ฉันจะโกรธจริงๆ ด้วย ฉันไม่อยากให้มีคนพูดถึงเสี่ยวหนงในทางที่ไม่ดี เธอก็แค่ร่าเริงไปหน่อย โตจนป่านี้แล้วก็ไม่เคยเห็นเธอจะเคยทำเรื่องที่ไม่ดี เธอไม่รู้หรอกว่าก่อนหน้านี้เธอ…… ยังไงซะฉันก็หวังว่าเธอจะเคารพเธอ” ตั้งแต่ที่จิ่วจิ่วรู้จักกับเซี่ยชีหรั่น มานี่เป็นครั้งแรกที่เธอพูดจาด้วยน้ำเสียงแบบนี้

ถ้าหากว่าพวกเธอไม่ใช่เพื่อนกัน เธอก็ไม่อยากพูดแบบนี้หรอก ดูเหมือนในใจของเธอ นองสาวของเธอคนนี้คงจะสำคัญมากกว่าสิ่งไหน จิ่วจิ่วรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยภายในใจ สีหน้าก็เริ่มดูแย่ลง

“ค่ะ คุณนายหญิง คุณสั่งให้ฉันเคารพเธอ ฉันก็จะเคารพเธอ” จิ่วจิ่วพูดด้วยความโกรธ

……

ในตอนที่เย่เชินหลินกลับมาถึงบ้าน คุณนายไห่มาส่งฝู้เฟิ่งหยีและเพิ่งจากไป เดิมเธออยากจะอยู่เป็นเพื่อนฝู้เฟิ่งหยี แต่ก็คิดว่าไม่อยากรบกวนเธอจัดการเรื่องในครอบครัว เมื่อย้ำกับเธอว่าสามารถติดต่อเธอได้ทุกเมื่อถ้ามีปัญหา จากนั้นจึงจะจากไป

พี่เลี้ยงเสี่ยวหลันมาเปิดประตูให้เย่เชินหลิน เมื่อได้ยินฝู้เฟิ่งหยีสั่งเธอ: “เสี่ยวหลัน เธอออกไปข้างนอกก่อน ฉันมีเรื่องที่อยากจะคุยกับเย่เชินหลินตามลำพัง”

เมื่อถึงตอนนี้แล้ว เธอก็ยังเรียกเขาว่าเย่เชินหลิน

เมื่อเย่เชินหลินกวาดสายตามองดูสักพัก มองไม่เห็นเย่เฮ่าหรัน คุณแม่นั่งอยู่บนโซฟา สีหน้าไม่ค่อยดี แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ป่วย

“ค่ะ คุณนาย” เสี่ยวหลันขานตอบ ออกจากประตูไป เย่เชินหลินเดินไปถึงหน้าโซฟาแล้ว นั่งลงแล้วก็เอ่ยถามแม่: “แม่ครับ เกิดเรื่องอะไรขึ้น? คุณอย่าเพิ่งโกรธ บอกผมมาเถอะ!”

เธอจะไม่โกรธได้ยังไง? ทันทีที่เห็นเขา เธอก็ลุกเป็นไฟ

“ผั๊วะ!” โดยไม่มีการเตือน ฝู้เฟิ่งหยียกมือข้นตบไปที่ข้างหูของเย่เชินหลิน

เย่เชินหลินขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้แล้วว่าเขาต้องทำอะไรผิดแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคุณแม่ไม่มีทางตบเขาเด็ดขาด

และคุณแม่ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่พิเศษ เธอไม่มีทางเข้าใจเขาผิด ถ้าไม่มีหลักฐานที่สามารถพิสูจน์เขามากกว่านี้ เธอก็ไม่มีทางตบเขา

ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดไปถึงได้ทำให้แม่โกรธได้ขนาดนี้ แต่ทว่าเขากลัวแม่ได้รับบาดเจ็บ เปลี่ยนจากการนั่งยองเป็นคุกเข่า พูดเสียงเบา: “แม่ครับถ้าคิดว่าผมสมควรโดนตี ก็ตีให้มากกว่านี้ อย่าโกรธไปเลย ตีเสร็จแล้วเราค่อยคุยกันว่าผมทำอะไรผิดไป”

“แกไอคนเลว!” ฝู้เฟิ่งหยีกัดฟันตะคอกออกมา ยังคงไม่หายโกรธ ผั๊วะ ตบเขาไปอีกครั้งในด้านที่ตรงกันข้ามกับเมื่อกี้

หลังจากตบเสร็จสองครั้ง อารมณ์ของเธอก็ยังขึ้นอีกครั้ง ยกมือขึ้นทาบที่หน้าอก นายกว่าครึ่งวันจึงจะพูดออกมาหนึ่งประโยค : “แกพูดมาสิ แกทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้ยังไง? ฉันสงสัยจริงๆ เลยว่าแกเป็นลูกชายของฉันจริงๆ หรือเปล่า? ถึงได้โง่แบบนี้? ถูกผู้หญิงแค่คนเดียวหลอกจนวุ่นวายไปหมด ก็ยังไม่รู้อีก”

เย่เชินหลินตกใจ คิวว่าคนที่เธอพูดถึงคือเซี่ยชีหรั่นตามสัญชาตญาณ

เพราะว่าในใจของเขา มีเพียงเซี่ยชีหรั่นเท่านั้นที่สามารถมีผลต่อใจของเขา

“แม่ครับ! คุณพูดเรื่องอะไร? ชีหรั่นเธอเป็นเด็กดีนะ”

“ใครบอกว่าเป็นเธอหละ? ฉันหมายถึงส้งหลิงหลิง! จนถึงป่านนี้แล้วแกก็ยังไม่รู้อีก แกนี่มันจะทำฉันอกแตกตายจริงๆ ส้งหลิงหลิงเธอท้อง!” ฝู้เฟิ่งหยีทั้งโกรธทั้งกังวล ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ ถึงลูกชายจะดูเย็นชา แต่จริงๆ แล้วไม่ได้คิดว่าคนอื่นจะเลวร้ายขนาดนั้น เขาก็เหมือนกับพ่อ ใจดีมีเมตตา หากถูกคนอื่นโกง คนอย่างพวกเขานี่แหละที่มักจะถูกหลอกได้ง่ายๆ

จริงๆ แล้วเธอเองก็โกรธตัวเองมาก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิเขา

เพราะไม่ว่าจะยังไงเรื่องนี้มันก็ยุ่งยากมาก แม้แต่ผู้หญิงอย่างเธอที่เคยอยู่ยงคงกระพันในห้างสรรพสินค้าก็ยังรู้สึกว่ามันปวดหัว อย่างหาที่เปรียบไม่ได้

คำพูดของฝู้เฟิ่งหยีก็เหมือนระเบิดลูกหนึ่ง ที่ไประเบิดตรงกลางอกของเย่เชินหลิน

เขากำหมัดแน่น คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างแน่นหนา

เขาไม่รู้จริงๆ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้อะไรเลยจริงๆ!

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset