สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 958 สาวใช้ตัวแสบ 862

ตอนที่ 958 สาวใช้ตัวแสบ 862
หลังจากยีจู่ได้รับคำสั่งจากเย่เชินหลินแล้วเธอก็ดึงเซี่ยชีหรั่นออกไปและเกลี้ยกล่อมเธอไม่ให้ร้องไห้
“ได้ดูก็พอแล้ว เราควรไปกันละนะ” เย่เชินหลินมองไปที่เซี่ยชีหรั่นซึ่งดวงตายังคงแดงและบวมอยู่ เวลาตอนนี้ไม่เช้าแล้ว เมื่อนึกถึงคำพูดของเซี่ยชีหรั่นในวันนี้เย่เชินหลินก็อยากพาเธอไปไหว้เทพเยว่เหล่า เหมือนกัน เขาอยากให้เขาทั้งสองรักกันตลอดไปเช่นเดียวกับคำอวยพรของดอกกุหลาบเหล่านั้น
เซี่ยชีหรั่นไม่ได้มีเยื่อใยความสัมพันธ์ต่อส้งหลิงหลิงแต่อย่างใด เพียงแต่หลายต่อหลายปีที่ผ่านมาของชีวิตส้งหลิงหลิงนั้นมีเธออยู่ด้วย เธอจึงรู้สึกเห็นใจเธอ
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวเราติดต่อต้าฮุยให้เขามารับส้งหลิงหลิงไปโรงพยาบาล” เย่เชินหลินพาเซี่ยชีหรั่นเดินออกไปจากสายตาของส้งหลิงหลิง
เย่เชินหลินโอบกอดเซี่ยชีหรั่นและเดินจากไป เขารู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งที่คอยจับจ้องเขาจากด้านหลังเสมอ เย่เชินหลินตั้งใจไม่หันกลับไปมอง เขาได้แต่มองหน้ายีจู่แล้วพยักหน้า คงไม่ใช่คนของเขาอย่างแน่นอนที่มองเขาด้วยสายตาแบบนั้น เย่เชินหลินมองไปที่ส้งหลิงหลิงที่ยังคงสติแตกอยู่ ส้งหลิงหลิง ใช่เธอหรือ? เธอเป็นคนจ้องผมเมื่อครู่นี้หรือ?
“ต้าฮุย นายช่วยส่งส้งหลิงหลิงไปโรงพยาบาลหน่อย แล้วได้ติดต่อกับคุณหมอแล้วหรือยัง?” เย่เชินหลินมองไปที่เซี่ยชีหรั่น เพราะเธออยากรู้อาการของส้งหลิงหลิงให้เร็วที่สุด
“ครับคุณเย่ ผมไปจัดการเดี๋ยวนี้เลยครับ”
เซี่ยชีหรั่นมองเย่เชินหลินที่เพิ่งออกคำสั่งไป เขารู้ใจเธอมาตลอด ความกังวลจากความฝันของเซี่ยชีหรั่นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย มันเป็นแค่ความฝันเท่านั้น พี่หยุนซางเป็นคนดีคนหนึ่ง แล้วจะมาทำลายชีวิตคู่ของเธอกับเย่เชินหลินได้อย่างไร เซี่ยชีหรั่นพูดกับตัวเองมาตลอด
“เชินหลิน เราจะไปไหนกัน?” เซี่ยชีหรั่นแหงนมองเย่เชินหลินที่สุดกว่าตัวเองมาก เธอไม่รู้ว่าเจ้าชายเย่คนนี้จะพาเธอไปไหนในเวลานี้ หรือจะพาไปดูพระอาทิตย์ขึ้น
หลังจากที่เซี่ยอี้ชิงหยุดรถเซี่ยชีหรั่นถึงรู้ว่าเย่เชินหลินพาเธอไปที่ไหน นี่มันไม่ใช่ตีนเขาที่สูงที่สุดในตงเจียงหรือ? หรือว่าเจ้าชายเย่จะพาไปปีนเขา?
เมื่อเย่เชินหลินเห็นสายตาที่คาดหวังของเซี่ยชีหรั่นแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะทำให้เธอรู้สึกเซอร์ไพรส์
“คุณเย่ครับ คุณนายครับ ผมจะรออยู่ที่นี่นะครับ” เซี่ยอี้ชิงรู้งานตัวเอง คนฉลาดมักจะรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเจ้านายของเขาต้องการพื้นที่ส่วนตัว เขาจะไปเป็นก้างขวางคอไม่ได้
เย่เชินหลินชื่นชมไหวพริบการทำงานของเซี่ยอี้ชิงมาก ก่อนออกจากบ้านเซี่ยชีหรั่นนึกถึงตัวเองในฝันที่ต้องวิ่งหนีโดยใส่รองเท้าส้นสูงเธอจึงเลือกที่จะใส่รองเท้าผ้าใบออกจากบ้าน
ทั้งสองจับมือกันแล้วเดินไปตามผู้คนที่กำลังจะปีนขึ้นเขา
เย่เชินหลินหล่อเหลาอย่างมีเสน่ห์ ส่วนเซี่ยชีหรั่นก็สวยงามและสุภาพเรียบร้อย ระหว่างทางเดินขึ้นเขาก็เป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมาก บางคนถึงขั้นเข้ามาขอถ่ายรู้กับพวกเขาด้วย
“พี่สาวคะ เรามาถ่ายรูปกันเถอะ พี่ชายคนนี้หล่อมากเลย เรามาถ่ายรูปด้วยกันได้ไหมคะ?” เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งอายุประมาณสิบขวบที่มีใบหน้าอมสีชมพูเข้ามาจับมือเซี่ยชีหรั่นไว้ไม่ปล่อย
เซี่ยชีหรั่นจับมือเย่เชินหลินไว้แล้วนั่งลงต่อหน้าเด็กผู้หญิงคนนี้
“พี่ชายคะ เรามาถ่ายรูปด้วยกันเถอะ” เด็กหญิงอายุสิบขวบเริ่มเปลี่ยนกลยุทธ์ของเธอเมื่อเห็นว่าทุกท่าทีของเซี่ยชีหรั่นจะจับมือเย่เชินหลินไว้ เธอจึงเดาได้อย่างชาญฉลาดว่าต้องให้เกียรติเย่เชินหลินก่อน
เซี่ยชีหรั่นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและเตรียมพร้อมที่จะถ่ายรูปทั้งสามด้วยกัน
“พวกคุณรู้กันไหมคะว่าข้างหน้านี้มีน้องผู้หญิงกับน้องผู้ชายสองคนกำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่” ดูจากการแต่งตัวแล้ว เสียงพูดคนนี้น่าจะเป็นผู้หญิงวัยกลางคน
ทันทีที่ได้ยินคำนี้ สิ่งที่เซี่ยชีหรั่นคิดก็คือมีอะไรเกิดขึ้นกับจิ่วจิ่วและเหยนชิงเหยียนหรือเปล่า? เราต้องรีบเข้าไปหาพวกเขาไหม?
เย่เชินหลินสังเกตสีหน้าของเซี่ยชีหรั่นตลอด เดิมทีเขากลัวการปีนเขาจะเกิดอุบัติเหตุอะไรกับเซี่ยชีหรั่น
“อย่าเพิ่งใจร้อน คงไม่ใช่จิ่วจิ่วกับเสี่ยวห้านหรอก เราควรถามให้ชัดเจนก่อน” เย่เชินหลินพยายามปลอบโยนเซี่ยชีหรั่นอย่างนุ่มนวล แต่ลึกๆ ในใจเขาก็กังวลมากเหมือนกันเพราะชายคนนั้นก็เป็นน้องชายเขาคนหนึ่ง
“ฉันรู้ว่าจิ่วจิ่วต้องไม่เป็นอะไร” เซี่ยชีหรั่นก็พยายามพูดให้ตัวเองสบายใจ แต่ยิ่งพูดแบบนี้ยิ่งทำให้ตัวเองกังวลมากขึ้น
เธอห้ามความตั้งใจที่จะให้เย่เชินหลินเข้าไปดูสถานการณ์ก่อน
“หนูขอรบกวนถามหน่อยนะคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?” เซี่ยชีหรั่นพยายามสงบสติอารมณ์แล้วถาม แต่ตอนนี้เธอรู้สึกกระวนกระวายจนตาลายไปหมดแล้ว
“เห็นว่าน้องสาวคนนั้นบังเอิญล้มลงโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วน้องผู้ชายพยายามจะช่วยเธอจึงเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเขา”
“นั่นสิ สงสารน้องผู้ชายคนนั้นจัง ไม่รู้ว่าขาของเขายังใช้ได้อีกหรือไม่นะ”
เย่เชินหลินมองสีหน้าของเซี่ยชีหรั่นและรู้ว่าเธอกังวลมากเกินไป เขาจึงรีบกล่าวคำขอบคุณแทนเธอไปก่อน “ขอบคุณนะครับ”
เธอจับมือเย่เชินหลินทันทีแล้วพูดอย่างรวดเร็ว “เชินหลิน คงไม่ใช่จิ่วจิ่วใช่ไหม” เซี่ยชีหรั่นกระวนกระวายใจมาก เธอรับไม่ได้สำหรับผู้หญิงที่ยังมีอารมณ์ร่าเริงก่อนหน้านี้และไม่นานก็ต้องมาเผชิญกับสถานการณ์แย่ๆ แบบนี้
“เราไปดูกันก่อน” เย่เชินหลินปลอบเซี่ยชีหรั่นแล้วลูบผมเธอเบาๆ เขาพยุงเธอเดินไปด้วยกันทีละก้าว หลังจากได้ยินคำพูดของนักท่องเที่ยวเหล่านั้น เย่เชินหลินยิ่งดูแลเซี่ยชีหรั่นดีเป็นพิเศษ ส่วนเขาก็ระมัดระวังตัวมากเช่นกัน เซี่ยชีหรั่นใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและหวังอย่าให้เกิดอะไรขึ้น
เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังรวมตัวอยู่ระยะไกล เซี่ยชีหรั่นจึงพยายามเดินให้เร็วขึ้น โชคดีที่เธอใส่รองเท้าผ้าใบออกมา ไม่เช่นนั้นคงต้องถอดรองเท้าวิ่งอีก แต่ในถนนบนภูเขาแบบนี้แม้จะเป็นเท้าเปล่าก็ไม่สามารถวิ่งเร็วได้
เย่เชินหลินพยายามพาเธอเดินเข้าไปในท่ามกลางฝูงชน เซี่ยชีหรั่นเห็นแผ่นหลังที่เธอคุ้นเคย เธอขยับก้าวเท้าไปทีละก้าว
“จิ่วจิ่ว” เซี่ยชีหรั่นตะโกนเบาๆ เธอคาดหวังในใจว่าคนข้างหน้านี้จะไม่ตอบสนองเธอ แต่เมื่อจิ่วจิ่วได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนั้นเธอก็หันหน้ากลับมองเซี่ยชีหรั่นที่เดินอยู่ไกลๆ ด้วยความหวัง เธอร้องไห้ทันทีและทำอะไรไม่ถูก เซี่ยชีหรั่นไม่เคยเห็นจิ่วจิ่วเป็นแบบนี้มาก่อนเลย
ด้วยความตกใจจิ่วจิ่วยังไม่ได้โทรสายด่วน 120 เย่เชินหลินจึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาและโทรหมายเลขฉุกเฉินของโรงพยาบาลทันที
เย่เชินหลินเข้าไปดูอาการของเหยนชิงเหยียน น่องของเขาเปื้อนเลือดและดูเหมือนอาการจะค่อนข้างรุนแรง
“ไม่เป็นแล้วนะจิ่วจิ่ว ไม่เป็นแล้ว” เซี่ยชีหรั่นปลอบใจจิ่วจิ่วอย่างนุ่มนวลและรู้สึกเป็นห่วงสถานการณ์ในตอนนี้ของเหยนชิงเหยียนมาก เมื่อเห็นจิ่วจิ่วร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไปหมด เธอจึงเตือนตัวเองว่าต้องเข้มแข็งเอาไว้ เธอจะให้จิ่วจิ่วเห็นความอ่อนแอของเธอไม่ได้ในตอนนี้
หลังจากนั้นไม่นานรถพยาบาลก็ได้มาถึงและยกเหยนชิงเหยียนขึ้นไปบนรถทันที จิ่วจิ่วยืนยันว่าจะไปด้วย เซี่ยชีหรั่นไม่ไว้ใจให้จิ่วจิ่วไปคนเดียว ดังนั้นเขาทั้งสามจึงไปโรงพยาบาลกับรถฉุกเฉิน
อารมณ์ของเย่เชินหลินค่อนข้างหนักแน่น เขาจึงสั่งให้เซี่ยอี้ชิงไปแจ้งข่าวกับพ่อบ้านและให้พ่อบ้านมาจัดการเรื่องนี้แทน เพราะโดยปกติเจ้าชายเย่จะไม่ค่อยออกมาจัดการธุระแบบนี้ด้วยตนเองอยู่แล้ว
“อย่ากังวลมากนะ เสี่ยวห้านแค่บาดเจ็บที่ขาไม่ได้เป็นโรคร้ายอะไร” เซี่ยชีหรั่นตบไหล่จิ่วจิ่วเบาๆ และพยายามปลอบใจเธอ
เมื่อพ่อบ้านได้รับข่าวนี้จากเซี่ยอี้ชิง เขาก็รีบติดต่อเย่เฮ่าหรันและฝู้เฟิ่งหยีที่อยู่ปักกิ่งโดยทันที
“ว่าไงนะ นายหมายถึงเสี่ยวห้านเกิดอุบัติเหตุเหรอ?” ฝู้เฟิ่งหยีถามอย่างไม่น่าเชื่อ เธอแค่ออกจากบ้านเพียงไม่กี่วันก็เกิดเรื่องขึ้นกับลูกชายของเธอแล้ว ฝู้เฟิ่งหยีรีบลุกขึ้นยืนและอยากบินกลับไปตงเจียงทันที
“คุณนางครับ ตอนนี้คุณชายกับคุณเซี่ยก็อยู่ที่โรงพยาบาลด้วย คุณนางไม่ต้องกังวลมากนะครับ” พ่อบ้านกล่าวอย่างระมัดระวัง แล้วฝู้เฟิ่งหยีจะไม่กังวลได้หรือ? แต่เธอก็นั่งลงอย่างใจเย็นอีกครั้งเมื่อได้ยินคำพูดของพ่อบ้าน
“เข้าใจแล้ว งั้นแค่นี้ก่อนนะ ฉันจะจองตั๋วก่อน” ฝู้เฟิ่งหยีรีบวางสายจากพ่อบ้านแล้วโทรหาเย่เฮ่าหรันทันที เขาเป็นพ่อของเสี่ยวห้านก็มีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องนี้เช่นกัน
ธุระในปักกิ่งของเย่เฮ่าหรันยังไม่เสร็จเรียบร้อย แต่เมื่อได้ข่าวจากฝู้เฟิ่งหยีแล้ว คนที่หนักแน่ในปกติกลับต้องรู้สึกกระวนกระวายใจในขณะนี้ เขาทิ้งงานทุกอย่างให้ผู้ช่วยแล้วรีบตรงไปที่สนามบินทันที
สนามบินที่แออัดเต็มไปด้วยผู้คน เครื่องบินยังมีเวลาอีกสิบห้านาทีในการเข้าสู่สนามบิน
“หวังว่าลูกจะไม่เป็นอะไรมากนะ” ฝู้เฟิ่งหยีพิงอยู่ที่เย่เฮ่าหรันแล้วพูดด้วยความเป็นห่วง
เย่เฮ่าหรันเต็มไปด้วยความสงสัย ทำไมเกิดขึ้นอย่างกะทันหันแบบนี้? หรือว่ามีคนบงการอยู่เบื้องหลัง
เหยนชิงเหยียนนั่งอยู่บนเตียงและมองผู้คนที่เป็นห่วงเขาเดินไปเดินมา เขารู้สึกว่าความอบอุ่นนี้ได้มาอย่างง่ายดายและอยู่ใกล้ชิดกับเขาเหลือเกิน
จิ่วจิ่วเฝ้าเหยนชิงเหยียนอยู่ใกล้ๆ แทบไม่ไปไหน หลังจากที่ทำแผลให้เหยนชิงเหยียนเสร็จแล้ว หมอหวังว่าเขาจะนอนพักที่โรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการไปก่อนสักสองสามวัน เส้นประสาทที่ขามีความเสียหายไม่มากนัก แต่หมอไม่แน่ใจว่าการบาดเจ็บครั้งนี้จะส่งผลต่อชีวิตในอนาคตของเขาหรือไม่
ก่อนที่หมอจะออกไปฝู้เฟิ่งหยีและเย่เฮ่าหรันก็ได้มาถึง
“ขอบพระคุณมากนะคะคุณหมอ” ฝู้เฟิ่งหยีกล่าวอย่างซาบซึ้ง
“รีบเข้าไปเยี่ยมลูกก่อนเถอะครับ” หมอพยักหน้าแล้วจากไป เพราะยังมีเม็ดเหงื่ออยู่บนหน้าผากของผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา เธอคงต้องกังวลลูกมาก หมอจึงไม่อยู่รบกวนเวลาของพวกเขา
“เสี่ยวห้าน ดีแล้วที่ลูกไม่เป็นอะไรมาก” ฝู้เฟิ่งหยีนั่งอยู่ข้างเตียงเหยนชิงเหยียนด้วยความเป็นห่วง ส่วนเย่เฮ่าหรันยืนพยักหน้าให้เหยนชิงเหยียนอยู่ไม่ไกล
เมื่อเห็นว่าฟ้าเริ่มมืด ฝู้เฟิ่งหยีจึงขอให้คนอื่นๆ กลับไปก่อน ส่วนเธอจะอยู่ต่อที่โรงพยาบาล
จิ่วจิ่วจะขออยู่เฝ้าเหยนชิงเหยียนแทน แล้วให้เซี่ยชีหรั่น ฝู้เฟิ่งหยีและเย่เฮ่าหรันกลับบ้านไปก่อน ส่วนเย่เชินหลินได้รับสายจากหลินต้าฮุยแล้วต้องเข้าไปดูส้งหลิงหลิงคนเดียว
ส้งหลิงหลิงไม่รู้ว่าตัวเองตกเป็นเป้าหมายของคนหลายคน โดยเฉพาะอาซานที่จงหวีฉวนส่งมา
ไม่นานมานี้เงินของอาซานถูกเขาถลุงไปหมดแล้วยังต้องใช้หนี้คืนคนอื่นด้วย เมื่อได้รับเงื่อนไขจากจงหวีฉวนแล้ว เขาลังเลในการตัดสินใจครั้งนี้มาก เพราะนั่นคือสิงโตอ้าปากขออาหารเชียวนะ เมื่ออาซานเห็นตัวจริงของจงหวีฉวนแล้วก็รู้สึกถึงเรื่องใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ประธานจงคนนี้ที่ออกทีวีบ่อยๆ ไม่ใช่หรือ? แต่ทำไมเขาถึงอยากให้เราไปแอบสืบและพาผู้หญิงคนนั้นหนีไป? แล้วจะฉวยโอกาสนี้เพื่อกอบโกยกำไรจากเขาดีไหม
อาซานลังเลต่อการตัดสินใจในครั้งนี้มาก แต่เมื่อนึกถึงคนเหล่านั้นที่คุกคามเขา ถ้าเขาไม่มีเงินไปใช้หนี้เขาอาจจะเสียแขนไปก็ได้ อาซานรู้สึกกลัวมากเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ และเขาคิดว่าประธานจงคนนี้เป็นคนรักประชาชนเหมือนในทีวีเสมอ เขาคงไม่ทำร้ายเขาหรอก
“นายว่าไงนะ?” จงหวีฉวนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้
“ผมหมายถึงถ้าจะให้ผมไปทำ ผมทำได้ แต่คุณต้องให้ค่าแรงผมเป็นสองเท่า ผมเช็คข้อมูลมาแล้ว เย่เชินหลินไม่ใช่คนง่ายๆ อย่างที่คิดเลย ใครก็ตามที่ทำให้เขาโมโหจะได้รับผลตอบแทนที่สาสมอย่างแน่นอน” อาซานไม่กล้ามองหน้าจงหวีฉวนในขณะที่พูด เขากลัวเย่เชินหลินมากกว่ากลัวจงหวีฉวน และตอนนี้สถานการณ์ก็บีบบังคับให้เขาพูดข้อเสนอนี้ออกมา

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset