หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 492 เป้าหมายก็คือ ดาวพุธ!

บทที่ 492 เป้าหมายก็คือ ดาวพุธ!

ทันทีที่สหพันธรัฐออกแถลงการณ์ ทั้งอาณาจักรก็ตกอยู่ในความวุ่นวายอีกครั้ง หนึ่งปีที่ผ่านมานี้เต็มไปด้วยเหตุการณ์มากมาย ทีแรกก็โศกนาฏกรรมบนดาวพุธ ต่อด้วยการปรากฏตัวของผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณคนแรกในสหพันธรัฐ แถลงการณ์เรื่องระเบิดต้านทานวิญญาณ การบรรลุขั้นปราณของหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉี และสุดท้ายก็คือ ปฏิบัติการพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ ที่มาพร้อมแผนการไปเหยียบกระบี่สำริดเขียวโบราณ!

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นติดๆ กันทั้งหมดนี้ ทำให้แม้แต่คนที่เขลาที่สุดยังรู้ว่ากำลังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น โดยอนุมานได้จากการร้อยเรียงเหตุการณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน

แต่มีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ความจริงเบื้องลึก

หวังเป่าเล่อเป็นหนึ่งในนั้น ชายหนุ่มไม่ได้แปลกใจอะไรเมื่อทราบข่าว เพียงแค่คิดว่ามีเวลาเหลือไม่มากในการเตรียมตัวให้พร้อมเท่านั้น

อีกครึ่งเดือนเท่านั้น! ชายหนุ่มที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ในห้องลับดูสงบนิ่ง ก่อนก้มลงมองผลลัพธ์ของความเพียรพยายามในสองเดือนที่ผ่านมา เบื้องหน้าเขามีสมบัติเวทเรียงอยู่มากมาย แต่ละชิ้นแผ่พลังกดดันรุนแรงเฉพาะตัวออกมา เรียงรายอยู่เบื้องหน้า หากคนอื่นมาเห็นสมบัติเวทที่มากมายก่ายเหล่านี้ คงตื่นตกใจเป็นแน่

นั่นเพราะสมบัติเวททุกชิ้นเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อล้วนเป็นอาวุธเวท!

โดยมีอยู่สามชิ้นที่โดดเด่นกว่าใครเพื่อน พลังที่สมบัติเวททั้งสามชิ้นนั้นแผ่ออกมา ไม่ใช่พลังงานของอาวุธเวททั่วไปในสหพันธรัฐแต่ก็เทียบเท่ากับอาวุธเวท ทั้งสามชิ้นนั้นก็คือ กระบี่บินสามเล่มสามสี แถบผ้าสีชมพู และเกล็ดทั้งสาม!

พวกมันคือสมบัติเวทที่เขาได้มาจากผู้ฝึกตนต่างดาวทั้งสามคนนั่นเอง!

แถบผ้าและเกล็ดนั้นมีพลังเทียบเท่าอาวุธเวทระดับแปด ส่วนกระบี่บินสามเล่มสามสีของหัวหน้าผู้ฝึกตนจากนอกโลก… หวังเป่าเล่อคะเนว่า เมื่อนำกระบี่ทั้งสามมาประกอบเข้าด้วยกัน แม้กลิ่นไอของพลังจะไม่เหมือนอาวุธเวทระดับเก้า แต่ก็ถือเรียกได้ว่าเกินระดับแปดไปมากจนเทียบเท่าระดับเก้าเลยทีเดียว!

นอกจากนี้ยังมีโทรโข่งที่ยังเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ด แต่หวังเป่าเล่อก็เสริมพลังมันอย่างต่อเนื่อง จนบัดนี้โทรโข่งได้กลายเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดที่แข็งแกร่งเหลือเชื่อ โทรโข่งนั้นส่องแสงสว่างวาบพร้อมอักขระลับที่แต่งแต้มอยู่บนพื้นผิว ทำให้ดูยอดเยี่ยมทรงพลังเหมือนขุมทรัพย์ก็ไม่ปาน

เชือกและผนึกยักษ์ก็ได้รับการเสริมพลังเช่นกัน หลังจากคิดอยู่เป็นเวลานาน หวังเป่าเล่อก็เลือกสองชิ้นนี้จากกองสมบัติเวททั้งหมดมาดัดแปลง

เชือกนี้เมื่อปาออกไป จะบินขึ้นท้องฟ้าหายไปในทันที ส่วนผนึกยักษ์ก็มีคุณสมบัติแปลกประหลาดไม่แพ้กัน เมื่อใช้ ผนึกยักษ์จะหายวับไปทันที ก่อนจะพุ่งลงมาด้วยแรงมหาศาล เมื่อพบว่าคู่ต่อสู้อยู่ในสภาพอ่อนแอ

แม้ทั้งสองสิ่งนี้จะเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ แต่หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าพวกมันอาจกลายเป็นสมบัติเวทที่ทรงพลังได้ เพราะแม้แต่เขาที่เป็นเจ้าของยังไม่เข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร แล้วคู่ต่อสู้ของเขาจะไปล่วงรู้ได้อย่างไรเล่า

ไม่แน่ว่าเมื่อเวลามาถึง เจ้าสองอย่างนี้อาจมีประโยชน์มากก็เป็นได้… หวังเป่าเล่อถอนใจ หากเลือกได้เขาคงไม่เสริมพลังสมบัติเวททั้งสองชิ้นนี้ แต่ก่อนหน้านี้ขณะพยายามหลอม มีเพียงสองชิ้นนี้เท่านั้นที่เสริมพลังได้ง่ายกว่าใครเพื่อน ไม่เหมือนชิ้นอื่นที่ค่อนข้างยุ่งยากและใช้เวลานาน

โชคดีที่เมื่อสมบัติเวททั้งสองกลายเป็นอาวุธเวทแล้ว ลักษณะการใช้งานใหม่ก็ปรากฏขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเหยื่อถูกมัดด้วยเชือกนี้ ไม่ใช่เพียงร่างกายเท่านั้นที่ขยับไม่ได้ แต่จะถูกกดพลังปราณเอาไว้ให้ใช้งานไม่ได้ด้วย พลังปราณของผู้ถูกมัดจะหายไปโดยสิ้นเชิง ทำให้กลายเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา

ส่วนผนึกยักษ์นั้นก็เจ้าเล่ห์ขึ้นไปอีก หวังเป่าเล่อลองวิเคราะห์ดู และพบว่าผนึกนี้ทำงานตามกฎชุดหนึ่ง ที่แม้แต่เขาเองยังไม่เข้าใจ ดูเหมือนว่าใครก็ตามที่โดนผนึกยักษ์นี้โจมตี จะบาดเจ็บแสนสาหัสจนฟื้นตัวได้ยากยิ่ง

ชายหนุ่มถอนหายใจขณะมองเชือกและผนึกยักษ์ ความจริงแล้วเขาอยากเสริมพลังฝักกระบี่มากที่สุด แต่การจะทำเช่นนั้นได้ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาล แม้หวังเป่าเล่อจะได้วัตถุดิบจากจินตั้วหมิงมาเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่เพียงพอจึงทำไปได้เพียงร้อยละ 30 เท่านั้น

หวังเป่าเล่อคำนวณดูแล้วและพบว่า แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะหาวัตถุดิบจำนวนมากมายขนาดนั้นบนดาวอังคารมาเสริมพลังฝักกระบี่นี้ให้กลายเป็นอาวุธเวทได้

เห็นทีข้าต้องไปหาเอาบนกระบี่สำริดเขียวโบราณเสียแล้ว! หวังเป่าเล่อคำนวณเวลาที่ต้องใช้ในการสานต่อภารกิจ จากนั้นความมุ่งมั่นก็ฉายชัดขึ้นบนแววตา

เหลือเวลาอีกครึ่งเดือน… มาดูกันว่าข้าจะหลอมอาวุธเวทระดับแปดชิ้นใหม่ขึ้นภายในเวลาครึ่งเดือนที่เหลือได้หรือไม่! จากนั้นชายหนุ่มก็ถือสันโดษอีกครั้ง เขาสลับไปมาระหว่างการเข้าฌานเพื่อหาดวงจิตของเทพเจ้า และการหลอมอาวุธเวทระดับแปด

เวลาผ่านไปเช่นนี้ จนเหลืออีกเพียงสามวันก่อนที่พันธุ์กล้าทั้งหมดจะต้องไปรวมตัวกันบนดาวพุธ!

ระยะเวลาเดินทางจากดาวอังคารไปดาวพุธใช้เวลาสามวัน ซึ่งถือเป็นเวลาที่เร็วที่สุด โดยใช้เรือบินซึ่งทันสมัยสุดที่สหพันธรัฐมีในขณะนี้ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่มีทางเลือกนอกจากออกจากการถือสันโดษในที่สุด แต่เขาก็ยังพอใจกับผลงานที่ตนเองทำได้ในครึ่งเดือนที่ผ่านมา

ชายหนุ่มรู้ดีว่าเป็นการยากมากจนแทบเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะหลอมอาวุธเวทระดับแปดที่แท้จริงขึ้นมาได้ภายในเวลาครึ่งเดือน ดังนั้นภายในครึ่งเดือนนี้ เขาจึงไม่ได้พยายามหลอมอาวุธเวทระดับแปดที่สมบูรณ์แบบขึ้นมา แต่มุ่งมั่นสร้างอาวุธเวทระดับแปดชนิดที่ใช้ได้ครั้งเดียวต่างหาก

การหลอมอาวุธเวทชนิดใช้ได้ครั้งเดียวนั้นง่ายกว่าการหลอมอาวุธเวทที่แท้จริงมาก อุปสรรคเดียวคือการนำดวงจิตแห่งเทพเจ้ามาใส่ในอาวุธเวทนี้เท่านั้น ปัญหาของผู้เชี่ยวชาญคนอื่นคงเป็นเรื่องของดวงว่าจะเจอดวงจิตเทพเจ้าหรือไม่ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อ การตามหาดวงจิตกลับเป็นเรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ตอนนี้ชายหนุ่มจับดวงจิตที่มีอยู่บนดาวอังคารไปเกินครึ่งแล้ว

ด้วยเหตุนี้เขาจึงหลอมอาวุธเวทชนิดใช้ได้ครั้งเดียวสำเร็จ นอกจากนี้ยังสร้างวัตถุเวทประหลาด เช่น ระฆังยักษ์สูงสามเมตรได้ด้วย!

ระฆังนี้แข็งแรงมาก แม้จะใช้ได้เพียงครั้งเดียว แต่อำนาจของมันจะช่วยป้องกันตัวเขา โดยส่งพลังต้านรุนแรงออกไปให้คู่ต่อสู้เสียสมดุล และยังกดพลังปราณของคู่ต่อสู้ได้ด้วย

นอกจากนี้ยังมีสมบัติเวทที่หน้าตาเหมือนผลึกแก้ว ตอนแรกหวังเป่าเล่อตั้งใจจะหลอมผลึกแก้วที่ระเบิดตัวเองได้เหมือนกระบี่บินระเบิดตัวเอง แต่มันกลับยากเกินไป ชายหนุ่มทำพลาดอยู่หลายครั้ง ถึงกระนั้นสิ่งนี้ก็ยังมีดวงจิตของเทพเจ้าอยู่ด้านใน ทำให้ยังพอมีฤทธิ์เดชอยู่บ้าง

แต่ฤทธิ์ของมันไม่ใช่การระเบิดตัวเองแต่อย่างใด ผลึกแก้วนี้เมื่อใช้งานจะกลายเป็นของเหลวที่มีฤทธิ์ติดแน่นเหมือนกาวตราช้าง ชายหนุ่มยังไม่ได้ลองใช้ แต่จากการคะเนดูแล้ว น่าจะเป็นกาวที่ทรงพลังมากโขเลยทีเดียว!

ที่กล่าวมานี้ยังเป็นส่วนน้อยของสมบัติเวททั้งหมดที่หวังเป่าเล่อมี มีหลายชิ้นที่ดูแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร แต่น่าเสียดายที่พวกมันเป็นสมบัติเวทซึ่งใช้ได้เพียงครั้งเดียว แต่กระนั้นก็น่าจะทำให้คู่ต่อสู้ตกใจกลัวได้อยู่ดี ส่วนความทรงพลังของสมบัติเวทแต่ละชิ้นนั้นก็ขึ้นอยู่กับวิธีใช้ในสถานการณ์จริง

ช่างมันเถิด ก็เอาตามนี้ละ… หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกพอใจหรือผิดหวังกับผลงานของตน เขาเก็บอาวุธเวทกลับเข้าที่ แต่ก่อนจะออกจากการถือสันโดษ เขาก็ถอดจิตเข้าฌานเป็นครั้งสุดท้าย โดยใช้แก่นในแห่งความมืดและศาสตร์แห่งความมืดเพื่อพลิกแผ่นดินดาวอังคารหาดวงจิต และใช้เปลวไฟสีดำในกายจับดวงจิตที่พบเจอ

เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ เขาก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย ชายหนุ่มเข้าฌานหลายต่อหลายครั้งตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ด้วยหวังว่าจะเจอดวงจิตที่หน้าตาเหมือนดวงอาทิตย์ ซึ่งเคยเจอบนดาวอังคารก่อนหน้านี้

แต่ดูเหมือนว่าดวงจิตนั้นจะรู้สึกได้ถึงอันตรายที่คืบเข้ามาใกล้และหนีไปซ่อน เขามีเวลาจำกัด จึงหามันไม่เจอแม้จะพยายามอยู่หลายครั้ง บัดนี้หมดเวลาเสียแล้ว เขาจำต้องจากไปโดยยังไม่ทันได้หาเจอ ชายหนุ่มนึกเย้ยอยู่ในใจ

ช่างหัวมันปะไร ถือว่าเจ้าโชคร้ายเองที่ไม่ได้มาเป็นดวงจิตของชายหนุ่มรูปงามอย่างข้า เจ้าต่างหากที่ขาดทุน หวังเป่าเล่อส่ายหน้า ก่อนจะออกจากฌานพร้อมดวงจิตแห่งเทพเจ้าอีกเป็นกระบุง เขาออกจากการถือสันโดษในที่สุด

หวังเป่าเล่อไม่รีรอให้เสียเวลาอีกต่อไป เขารีบเรียกจินตั้วหมิงและคนอื่นๆ เข้าพบเพื่ออธิบายสถานการณ์ ก่อนจะสั่งการบางเรื่อง และทำสิ่งที่ตนเองแทบทำใจรับไม่ไหว คือการยกมือคารวะบอกลาทุกคน

“ข้าขอฝากเขตนครพิเศษดาวอังคารไว้ในมือพวกเจ้าทุกคนด้วย!” หวังเป่าเล่อมองใบหน้าของผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน เขารู้สึกเสียดายที่หลี่หว่านเอ๋อร์ยังถือสันโดษอยู่จึงไม่ได้บอกลานาง แต่ชายหนุ่มไม่ได้เป็นหน้าใหม่ เหมือนครั้งที่เพิ่งเดินทางจากโลกมายังดาวอังคารอีกแล้ว แม้จะถูกอารมณ์มากมายถาโถมเข้าใส่ แต่เขาก็รู้ดีว่าสำหรับผู้ฝึกตนทุกคนในยุคกำเนิดวิญญาณแล้ว การจากลาเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้

ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงรีบเรียกสติตนเองกลับมา เขาสูดหายใจเข้าลึก ก่อนหันหลังกลับเพื่อเดินเข้ายานที่จะมุ่งหน้าไปยังดาวพุธ

กงเต๋าก็ไปกับหวังเป่าเล่อด้วยเช่นกัน ส่วนจินตั้วหมิง หลินเทียนหาว และคนอื่นๆ นั้นไม่ได้เป็นพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ จึงไม่ได้เข้าร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ ทุกคนส่งหวังเป่าเล่อและกงเต๋าจากไปในเรือบิน ที่พุ่งทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า ก่อนค่อยๆ หายลับไปในความมืดอันไกลโพ้น

ทุกคนมีความคิดมากมายอยู่ในใจขณะมองภาพนั้น ไม่มีใครรู้ว่าจะได้เจอหวังเป่าเล่ออีกครั้งเมื่อใด

หลินเทียนหาวและจินตั้วหมิงรู้สึกอาลัยอาวรณ์มากล้น แต่โชคดีที่หวังเป่าเล่อวางรากฐานในเขตนครพิเศษไว้อย่างดีเยี่ยม และยังมีกำลังเสริมจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังทรงอำนาจขึ้น แม้หวังเป่าเล่อจะไม่อยู่ประจำการ ทุกอย่างก็คงเป็นไปอย่างราบรื่นดี ตราบใดที่เขาไม่หายตัวไปนานเกินไป

เรือบินของหวังเป่าเล่อและกงเต๋าหลุดออกจากแรงดึงดูดของดาวอังคาร พุ่งตรงไปสู่ดาวพุธ ท่ามกลางความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset