ตอนที่137 จิตวิญญาณที่เร่าร้อน
“อ่อ จริงสิ ฉันมีเรื่องอยากจะถามนายนานแล้ว แต่สุดท้ายก็ลืมทุกครั้งเลย”
หลินชูวโม่กระโจนเข้าไปนั่งบนที่โซฟาข้างชายหนุ่ม เธอจ้องตาฉีเล่ยเขม็งพร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“ความสัมพันธ์ระหว่างนายกับหลี่ถงซี…นายกับเธอเป็นอะไรกันแน่?”
“ก็แค่เพื่อน”
“เพื่อนแบบไหน?”
“เพื่อนที่ดีต่อกัน”
“เคยนอนด้วยกันรึยัง?”
“เอิ่ม…สงสัยความคำจำกัดความของคำว่า‘เพื่อน’ของคุณกับผมจะไม่เหมือนกันนะ”
ฉีเล่ยถึงกับสำลักเมื่อเจอคำถามข้อนี้ของหลินชูวโม่เข้าไป แต่เมื่อหญิงสาวเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย ก็ถึงกับคลี่ยิ้มแปลกก่อนจะถามต่อว่า
“อะไรกัน? ไม่เห็นต้องปิดบังฉันเลยนี่! นายกับเธอรู้จักกันนานแค่ไหนแล้ว? ยังไม่เคยมีอะไรกันเลยจริงๆน่ะเหรอ?”
ฉีเล่ยได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
“ผมกับเธอไม่ใช่เพื่อนในแบบที่คุณคิด”
แต่ทันใดนั้นหลินชูวโม่ก็พุ่งเข้าไปจู่โจมฉีเล่ยแบบไม่ทันตั้งตัว เธอกอดแขนอีกฝ่ายแน่นจนหน้าอกอวบอิ่มแนบชิดติดกับท่อนแขนของเขา ก่อนจะเงยหน้าส่งสายตาหวานให้อีกฝ่ายและเอ่ยถามต่อทันที
“สุดหล่อ แล้วระหว่างฉันกับหลี่ถงซี นายคิดว่าใครสวยกว่ากัน?”
“ก็สวยเหมือนกัน”
“ถ้าต้องเลือกคนใดคนหนึ่งเป็นภรรยา นายจะเลือกใคร?”
ฉีเล่ยแสยะยิ้มตอบอย่างชั่วร้ายไปว่า
“สงสัยคงต้องได้ลองก่อนถึงจะเลือกถูก”
หลินชูวโม่ผละร่างที่แนบชิดนั้นออกมาทันที พลางยกมือขึ้นทุบหน้าอกของฉีเล่ยไปหนึ่งที พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าเก้อเขินว่า
“นี่นายหมายความว่ายังไงกัน? ไม่โลภเกินไปหน่อยเหรอ? คิดจะจับปลาสองมือเลยรึไง?”
ฉีเล่ยได้แต่ยิ้มก่อนจะย้อนถามกลับไปว่า
“แล้วคุณคิดว่า เรื่องที่คุณสมมุติขึ้นมาจะเกิดขึ้นจริงไหม?”
หลินชูวโม่ส่ายหัวตอบทันที
“ไม่! ไม่มีทาง! คนอย่างนายถ้ายังไม่เลิกกับภรรยา ผู้หญิงคนไหนก็อย่าหวังได้แอ้มเลย”
ฉีเล่ยยักไหล่ตอบอย่างไม่แยแส
“ในเมื่อมันไม่มีทางเกิดขึ้นจริง แต่คุณยังเลือกที่จะถาม แสดงว่าคุณนั่นแหละที่โลภอยากได้จนฟุ้งซ่าน”
“…”
หลินชูวโม่ถึงกับต้องเม้มริมฝีปากคู่งามนั้นแน่น เธอนั่งนิ่งอยู่ชั่วขณะหนึ่งแต่แล้วจู่ๆก็เอ่ยถามขึ้นอีกว่า
“แล้วถ้าเป็นไปได้…พอมีโอกาสไหมที่นายจะเลือกฉัน?”
ฉีเล่ยลุกขึ้นจากโซฟาและเดินไปที่หน้าประตูทันที
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนก็แล้วกัน”
หลินชูวโม่ลุกขึ้นตามพร้อมกับร้องตะโกนไล่หลังไปว่า
“อันที่จริงฉันอยากจะชวนนายไปทานข้าวกลางวันด้วยกันน่ะ แต่ถ้าวันนี้มีธุระอย่างอื่นก็..ก็ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้าก็แล้วกันนะ…”
ฉีเล่ยก้าวเดินจากออกไปพลางยกแขนโบกมือลาให้ จากนั้นจึงได้มาโบกเรียกรถแท็กซี่กลับไปยังบ้านสกุลหลี่ทันที แต่เมื่อรถขับผ่านหน้าประตูรั้วมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง เขาก็ขอให้คนขับหยุดรถทันที
หลังจากจ่ายค่าโดยสารเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็ค่อยๆเดินเข้าไปในรั้วมหาวิทยาลัย
ลึกๆภายในใจ เขาอยากจะไปเยี่ยมเยียนกลุ่มลูกศิษย์ของตัวเอง แต่สุดท้ายก็ลังเลและเปลี่ยนใจไม่เข้าไป
ถ้าเขายังคงเข้าไปพบเจอนักศึกษาอยู่แบบนี้ ก็คงมีแต่จะสร้างปัญหาให้ลูกศิษย์ของตัวเองมากขึ้น
หลี่ถงซีมีสอนสองคาบเช้า เหลือเวลาอีก10กว่านาทีจึงจะหมดคาบ ในช่วงเวลานี้ เขาจึงได้เดินหาเธอที่อาคารสอนและนั่งรออยู่ตรงม้านั่งด้านนอก
แต่ไม่ทันไร ฉีเล่ยก็สังเกตเห็นรถสปอร์ตหรูอย่างAudi R8สีน้ำเงินขับมาจอดเทียบข้างเขาจนเกือบจะชนเข้าให้
“นายเองเหรอ?”
ชายหนุ่มภายในรถเปิดกระจกด้านข้างลง พร้อมกับปรายหางตามองฉีเล่ยอย่างเย่อหยิ่ง
“อืมม..ผมเอง”
ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ ซึ่งชายหนุ่มที่อยู่ในรถก็ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือเป่ยจ้าวหยวน ที่เคยเจอกันครั้งหนึ่งที่บ้านสกุลหลี่
ชายคนนี้ขับรถสปอร์ตหรูและสวมใส่ชุดสูท ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่มาเจอฉีเล่ย แววตาที่มองมาทางเขานั้นราวกับว่ากำลังจ้องมองขอทานคนหนึ่งอยู่ก็ไม่ปาน
หมอนี่มาทำอะไรที่นี่? ศึกษาต่อปริญญาเอกหรือยังไง?
เป่ยจ้าวหยวนหยิบช่อกุหลาบขนาดใหญ่ออกมาจากที่นั่งข้างคนขับ เขาเปิดประตูลงจากรถ พร้อมกับปรายหางตาเหลือบมองฉีเล่ยปากก็พูดสบประมาทขึ้นว่า
“นี่นายมาทำอะไรที่มหาวิทยาลัย? ไม่ใช่ว่านายกลายเป็นหมาหัวเน่าของที่นี่ไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เป่ยจ้าวหยวนแสยะยิ้มอย่างชอบใจพร้อมกับพูดจาเย้ยหยันฉีเล่ยต่อ
“เอาจริงๆนะ ถ้าฉันเป็นนาย ตอนนี้คงจะหาเช่าห้องรูหนูที่ไหนสักแห่งเพื่อจะได้แอบเก็บตัวอยู่ที่นั่นเงียบๆ แล้วก็นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่คนเดียว ก่อนจะแขวนคอตายไปให้รู้แล้วรู้รอด ฉันคงไม่มีหน้ากลับมาที่นี่อีกแล้วล่ะ หรือแม้แต่บ้านของอาวุโสหลี่ก็เหมือนกัน นี่นายรู้อะไรไหม…ไอ้ตำราจับชีพจรอะไรนั่นมันก็แค่ของหลอกเด็ก คิดว่านายจะใช้สิ่งนี้อวดอ้างและหลอกคนไปทั่วได้ไปตลอดงั้นเหรอ? มันจบแล้ว สุดท้ายนายก็แค่สุนัขจรจัดไร้ค่า”
และก่อนไป ชายหนุ่มยังไม่ลืมที่จะเน้นย้ำคำพูดสุดท้ายที่คิดว่าเจ็บแสบกับฉีเล่ย
“นายยังจำคำพูดที่ฉันเคยพูดกับนายก่อนหน้านี้ได้ใช่ไหม? ของปลอมก็คือของปลอมอยู่วันยังค่ำ อาจปกปิดได้ชั่วครู่ชั่วยาม แต่สักวันก็ต้องถูกเปิดโปงจนได้ คิดจริงๆเหรอว่านายจะหลอกมหาวิทยาลัยแพทย์แห่งนี้ไปได้ตลอด อาจารย์ที่นี่ล้วนมีแต่คนเก่งๆทั้งนั้น จะตาบอดมองไม่เห็นได้ยังไงว่า นายมันก็แค่พวกต้มตุ๋นสิบแปดมงกุฏ”
ฉีเล่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับร้องถามออกไปว่า
“พูดจบรึยัง?”
“ยัง ยังมีประโยคสุดท้าย นายคิดจริงๆเหรอว่าตัวเองคู่ควรกับถงซี? คงอยากได้เธอจนตัวสั่นสินะ นี่คงถึงขั้นต้องไปเลียแข้งเลียขาหลี่ฮั่วเฉิน! ฮ่าฮ่าๆๆ…”
สิ่งที่เป่ยจ้าวหยวนคิดว่าจะได้เห็นคือ ใบหน้าอันสุดแสนจะอมทุกข์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกของฉีเล่ย แต่สุดท้ายกลับต้องทำให้เขาผิดหวัง เพราะฉีเล่ยยังคงนั่งยิ้มแย้มดูมีความสุขดี ก่อนจะตอบกลับไปอย่างไม่แยแสว่า
“ผมคู่ควรกับเธอหรือไม่ สุดท้ายก็มีแค่เธอเท่านั้นที่จะเป็นคนตอบได้ และอาศัยทักษะทางการแพทย์ของผม ผมไม่จำเป็นต้องเลียแข้งเลียขาใคร ผมไม่ได้เหมือนคุณที่เอาแต่คอยพึ่งพาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ทั้งที่ความเป็นจริงตัวเองกลับไม่ได้มีดีอะไรเลย”
หลังจากที่ฉีเล่ยได้ฟังคำพูดเหน็บแนมเสียดสีของอีกฝ่าย เขาก็เข้าใจได้ในทันทีว่า ช่วงที่ผ่านมาหลังจากที่ชายหนุ่มคนนี้ออกจากบ้านสกุลหลี่ไปด้วยความโมโหนั้น เขาก็ไม่ได้นิ่งเฉยหรือดูเหมือนไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย แต่ความจริงแล้วผู้ชายคนนี้ยังคอยแอบเฝ้าติดตามข่าวคราวของเขาอยู่ ถึงขั้นรู้ว่า ตอนนี้เขาเพิ่งถูกทางมหาวิทยาลัยไล่ออกจากการเป็นอาจารย์
ครั้งแรกที่พบกัน ฉีเล่ยก็สังเกตเห็นแล้วว่า สายตาของอีกฝ่ายที่มองมาทางหลี่ถงซีนั้นดูไม่ค่อยจะซื่อนัก แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นเขาจะคอยหาโอกาสตามจีบเธอแบบนี้
เป่ยจ้าวหยวนชี้ไปที่กุหลาบช่อใหญ่ในอ้อมแขนของตัวเองพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ฉันว่านายคงจะไม่ใช่คนโง่นัก นายเห็นช่อกุหลาบในมือของฉันใช่ไหม? หึหึ…ฉันรู้นะว่านายเองก็แอบชอบถงซีอยู่เหมือนกัน แต่โชคร้ายหน่อย…ที่ฉันเองก็ชอบเธอเหมือนกัน”
ฉีเล่ยพยักหน้าและกล่าวตอบไปว่า
“ผมไม่รู้หรอกนะครับว่า ผมชอบเธอรึเปล่า แต่ที่แน่ๆคือเธอไม่ได้ชอบคุณ”
เป่ยจ้าวหยวนโบกมือไปมาพร้อมตอบโต้กลับไปว่า
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ ฉันแค่อยากจะบอกกับนายให้รู้เฉยๆว่า เลิกตามจีบเธอได้แล้ว เพราะถ้ายิ่งฝืนอยู่แบบนี้ ตัวนายเองก็จะยิ่งเจ็บมากนะ”
ฉีเล่ยล้อเลียนอีกฝ่ายด้วยการโบกมือไปมาเหมือนที่อีกฝ่ายทำ พร้อมตอบกลับไปว่า
“น่าเสียดาย น่าเสียดาย ผมเองก็อยากจะบอกคุณเหมือนกันว่า ต่อให้ไม่มีผมเข้าไปยุ่ง เธอก็ไม่ชอบคุณอยู่ดี”
“….”
ชายคนหนึ่งยืนถือช่อกุหลาบ ส่วนชายอีกคนหนึ่งนั่งไขว้ห้างอยู่บนม้านั่งอย่างสบายอารมณ์ สองคู่สายตาเข้าปะทะหยั่งเชิงกันอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มเยาะกันออกมา การแข่งขันระหว่างผู้ชายทั้งสองคนได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเงียบงัน
เมื่อเสียงกริ่งหมดคาบเรียนดังกึกก้องทั่วอาคาร ทั้งสองต่างหันควับจับจ้องไปที่บันไดทางลงชั้นหนึ่งอย่างพร้อมเพรียง
นักศึกษาแห่กันออกมาจากตัวอาคาร สายตาของพวกเขาพลันสะดุดเข้ากับรถสปอร์ตคันหรูอย่างAudi R8สีน้ำเงินสวยงามที่จอดอยู่ตรงหน้า เด็กสาวบางคนถึงกับหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปเซลฟี่กันอย่างสนุกสนาน ส่วนบรรดาหนุ่มๆก็ได้แต่จับจ้องด้วยความอิจฉาริษยาอยู่ภายในใจลึกๆ
มีผู้ชายคนไหนบ้างไม่อยากขับรถสปอร์ต? พร้อมกับมีแฟนสาวนั่งอยู่เคียงข้าง แค่จินตนาการก็มีความสุขเกินบรรยายแล้ว
เป่ยจ้าวหยวนในชุดสูทวันนี้ ช่างดูเข้ากันยิ่งกว่าอะไรดี ประกอบกับใบหน้าอันหล่อเหลาและร่างสูงสง่าของเขา ที่กำลังยืนถือช่อกุหลาบพิงรถสปอร์ตAudi R8สีน้ำเงินคู่ใจ ใครเห็นต่างก็ต้องเอ่ยปากชื่นชมเปราะ
แต่เพราะองค์ประกอบทุกอย่างมันดูสมบูรณ์แบบเกินไป จนดูเหมือนจงใจอวดร่ำอวดรวย ซึ่งตรงกันข้ามกับฉีเล่ยที่แต่งตัวง่ายๆนั่งอยู่ตรงม้านั่ง เขามาในลุคพับแขนเสื้อสูทปลดกระดุมปล่อยตัวตามสบาย ทำให้ได้กลิ่นอายของแบดบอยเล็กน้อย ทุกคนจึงเข้าใจผิดกันไปว่า เจ้าของรถคันนี้แท้จริงคือฉีเล่ย ส่วนเป่ยจ้าวหยวนนั้นน่าจะเป็นเพื่อนที่ยืนเก๊กหล่อกับรถของเขาอีกที
และเพราะแบบนี้ฉีเล่ยจึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
พูดง่ายๆก็คือ เวลานี้บรรดานักศึกษาทั้งหมดที่ออกมาจากตัวอาคารเรียน พวกเขาต่างก็พูดถึงฉีเล่ยมากกว่าเป่ยจ้าวหยวนเสียอีก
“นี่ๆ ผู้ชายคนนั้นหน้าคุ้นจัง?”
“นี่เธอลืมไปแล้วเหรอ? เขาคนนี้ไงที่มีข่าวว่ากำลังคบหากับอาจารย์หลี่อยู่! ถึงจะจำหน้าได้ไม่ถนัด แต่ชุดสูทสีน้ำเงินกับความหล่อระดับนี้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นในมหาวิทยาลัย!”
“รู้สึกว่าเขาจะเป็นอาจารย์สาขาแพทย์แผนจีน? แต่ฉันเพิ่งได้ยินมาว่า เขาเพิ่งโดนทางมหาวิทยาลัยไล่ออกไปเมื่อสามวันก่อน?”
คำพูดวิพากษ์วิจารณ์ของเด็กนักศึกษากลุ่มนี้ แน่นอนว่าฉีเล่ยย่อมต้องได้ยิน แต่แทนที่เขาจะมีสีหน้าวิตกกังวล เขากลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแทน
สิ่งที่คนรอบข้างเอ่ยกล่าวออกไปทั้งหมดนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี ท้ายที่สุดก็เป็นแค่ขี้ปากชาวบ้านเท่านั้น ทองคำแท้ต่อให้อยู่ในขยะมันก็ยังเป็นทองคำอยู่วันยังค่ำ การมีชีวิตโดยเดินตามเส้นทางที่ตัวเองกำหนดย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
เมื่อหลี่ถงซีเดินลงมา ทันทีที่เห็นฉีเล่ยนั่งรออยู่ เธอก็รีบวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
ภายในใจของหลี่ถงซีนั้นเต็มไปด้วยความสุข แต่ใบหน้ากลับเรียบเฉยไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมา แต่หลังจากที่รู้ตัวว่า ตนเองกำลังแสดงอากัปกิริยาออกหน้าหน้าออกตาจนเกินไป จึงรีบชะลอฝีเท้าลงทันทีเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด
หลี่ถงซีเดินตรงไปหาฉีเล่ยพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า
“ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะ?”
ฉีเล่ยยิ้มให้และตอบกลับไปเพียงแค่ว่า
“ผมนั่งรถผ่านมาทางนี้พอดี ก็เลยแวะเข้ามาหาคุณ จะได้กลับบ้านพร้อมกันยังไงล่ะ”
“งั้นก็กลับกันเถอะ ขึ้นรถกันเลย”
หลี่ถงซีพยักหน้าพลางเดินตรงไปยังที่จอดรถพร้อมกับกุญแจในมือ
“ถงซี!”
แต่ในเวลานั้นเอง เป่ยจ้าวหยวนก็รีบวิ่งตามเธอไปโดยถือกุหลาบช่อใหญ่ไว้ในอ้อมแขน จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงตรงหน้าหลี่ถงซีพร้อมกับยื่นกุหลาบช่อนั้นให้ ชายหนุ่มยิ้มกว้างและพูดออกไปว่า
“ถงซี ถึงแม้ว่ากุหลาบช่อนี้จะไม่ได้สวยอะไรมากมายนัก แต่ผมก็เลือกมาจากใจ กุหลาบสีแดงสื่อถึงจิตวิญญาณที่เร่าร้อน ผมชอบคุณตั้งแต่แรกเห็นแล้วครับ”
หลี่ถงซีไม่แม้แต่จะเอื้อมมือออกไปหยิบกุหลาบช่อนั้นขึ้นมา แล้วจู่ๆสีหน้าท่าทางของเธอก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที
เป่ยจ้าวหยวนไม่อาจเข้าใจภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ได้เลย แม้แต่คนอื่นก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมเธอถึงไม่รับช่อกุหลาบสวยตรงหน้า ยิ่งไปกว่านั้นจากสีหน้าปกติสุขของเธอ กลับแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกจนชวนขนลุก ดูไร้ซึ่งมนุษย์สัมพันธ์โดยสิ้นเชิง แน่นอนว่า ปฏิกิริยาเช่นนี้ของหลี่ถงซีมีเพียงฉีเล่ยเท่านั้นที่เข้าใจ
หลี่ถงซีขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทีไม่แยแสว่า
“คุณเป็นใคร?”