หลังจากนั้น ผมกับคุณซิลเวียก็แยกย้ายกันไปที่เต็นท์ของตัวเองเหมือนเมื่อวานนี้
ดูเหมือนว่าช่างแต่งตัวที่เป็นผู้ชายจะยังไม่มา นั่นก็เพราะว่าไม่มีใครอยู่ในเต็นท์เลย
ว่าไปแล้ว ระหว่างทางที่มาที่นี่ก็ยังไม่เห็นพวกผู้สืบทอดคนอื่นๆเลยแฮะ
บางทีพวกเราคงจะมากันเร็วไปหน่อยสินะ
ผมไม่มีอะไรให้ทำเพราะยังไม่มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยน ผมก็เลยนั่งพักลงบนเก้าอี้
เพราะต้องตื่นแต่เช้าล่ะมั้ง พอนั่งลงไปแล้วก็เลยรู้สึกเริ่มจะง่วงขึ้นมา
คุณคาร์ล่ากับคุณซึกิคาเงะไม่สามารถเข้ามาในเต็นท์ได้เหมือนกับเมื่อวาน
เพราะว่าวันนี้มีการรักษาความปลอดภัยค่อนข้างแน่นหนาพอสมควร
มันก็เลยช่วยไม่ได้น่ะนะที่ผมจะรู้สึกเบื่อน่ะ
ในขณะที่ผมกำลังเหม่อมองไปในอากาศ
จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นมาจากนอกเต็นท์
“–ท่านเรียว อยู่รึเปล่าคะ? พอดีมีเรื่องที่จะต้องตรวจสอบอยู่น่ะค่ะ…”
นึกมาคนเปลี่ยนชุดจะมาแล้วแต่เหมือนจะไม่ใช่แฮะ
พอผมตอบไปว่า [ครับ] จากนั้นเสียงข้างนอกก็ตอบกลับมาอย่างเขินอาย
“ขอโทษที่ต้องรบกวนเวลานะคะ แต่ว่าช่วยมาด้วยกันหน่อยจะได้มั้ยคะ? อาจจะกระทันหันไปหน่อย แต่กำหนดการจัดงานมีความเปลี่ยนแปลงไปค่ะ เพราะงั้นเลยจะต้องมายืนยันให้แน่ใจก่อนที่พิธีจะเริ่มน่ะค่ะ”
เป็นเสียงที่เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกเลยแฮะ
“เข้าใจแล้วครับ”
ถ้าผมนั่งรออยู่ตรงนี้ต่อไปล่ะก็ผมคงผล็อยหลับไปแน่ๆ
ถ้าแค่นิดหน่อยก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ยังไงก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าซะด้วย
ผมตอบรับไปและเดินออกไปนอกเต็นท์
ซึ่งตรงทางเข้าเต็นท์นั้นมีคุณซึกิคาเงะยืนอยู่
นั่นก็เพราะว่าคนที่มาคุ้มกันผมในวันนี้คือคุณซึกิคาเงะกับเมย์ฟา
ส่วนคนที่ไปคุ้มกันคุณซิลเวียก็คือคุณคาร์ล่ากับซึสึนั่นเอง
คนที่ยืนอยู่ข้างๆคุณซึกิคาเงะในตอนนี้ก็คือดาร์กเอลฟ์สาวที่มีผมสีดำและผิวสีน้ำตาล
รูปร่างหน้าตาเธอเหมือนคนอายุประมาณ 30 ได้
พอเธอสบตากับผมเธอก็พูด [ขะ ขอโทษด้วยค่ะ….] ออกมาพร้อมก้มหัวหลายครั้ง
แล้วผมก็หันหาคุณซึกิคาเงะ
“ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องที่ต้องยืนยันน่ะครับ เพราะงั้นขอออกไปซักพักนึงนะครับ คุณซึกิคาเงะน่ะ…”
“เราจะรออยู่ตรงนี้แหละ ถ้าช่างแต่งตัวมาแล้วเดี๋ยวเราจะบอกเขาให้เองว่าเรียวไม่อยู่ เพราะงั้นวางใจเถอะ”
“รบกวนด้วยนะครับ เพราะถ้าเขาไม่เห็นเราขึ้นมาก็คงแย่แน่ครับ”
หลังจากคุยกันแล้ว คุณซึกิคาเงะก็ยกนิ้วขึ้นไปข้างบน
แล้วเธอก็ดึงหูจิ้งจอกของเธอด้วยมือทั้งสองข้าง
จากนั้นเธอก็หมุนนิ้วชี้วนไปหลายรอบ
[เมย์ฟาจะคอยคุ้มกันจากเงามืด เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วงไป]
เธอคงจะหมายความว่าแบบนี้ล่ะมั้งนะ คงใช่แหละ
เอาจริงๆ ท่าทางแบบนั้นมันก็สามารถตีความว่า
[เมื่อกี้นี้มีกระรอกบินกำลังร่อนอยู่บนต้นไม้ด้วยล่ะ!] ได้อยู่เหมือนกันนะ
แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว คงไม่ได้หมายความแบบนั้นอยู่แล้วล่ะ
“ถ้างั้นก็ไปกันเถอะครับ เอ่อ จะว่าไปแล้วคุณชื่ออะไรเหรอครับ?”
“มะ ไม่ต้องใส่ใจเรื่องของฉันหรอกค่ะ ถะ ถ้างั้น เชิญทางนี้เลยค่ะ”
พอผมตกลงจะไปผู้หญิงคนนั้นก็ทำท่าทางดูโล่งใจอย่างโจ่งแจ้ง
แล้วเธอก็เริ่มเดินไปด้วยสีหน้าที่ดูขี้อายและก้มมองลงต่ำ
และผมก็รีบเดินตามหลังของเธอไป
อืม ดูน่าสงสัยยังไงก็ไม่รู้สิ
มาลองคิดดูแล้ว ปกติถ้ากำหนดการมีการเปลี่ยนแปลงไปล่ะก็
การเรียกผมไปแต่ไม่เรียกคุณซิลเวียไปด้วยนี่ มันก็ไม่น่าจะมีประโยชน์นี่นา
ทั้งอย่างนั้นก็กลับเรียกผมไปคนเดียวแบบนี้ มันดูน่าสงสัยนะ
หนำซ้ำยังไม่ยอมบอกชื่อของตัวเองอีกยิ่งดูน่าสงสัยเข้าไปใหญ่
แต่ดูๆแล้ว ผมคิดว่าเธอก็คงไม่ใช่สมาชิกของหัตถ์แห่งพระเจ้าหรอกมั้ง
ถ้าเป็นหัตถ์แห่งพระเจ้าจริงๆแล้วล่ะก็ คงจะไม่มาเรียกผมด้วยท่าทางเก้ๆกังๆแบบนี้หรอก
บางทีคุณซึกิคาเงะเองก็จะรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว เธอก็เลยปล่อยให้ผมตามมาได้แบบนี้
เอาเถอะ มันก็ดีกว่าจะต้องเผลอหลับไปในเต็นท์ทั้งๆแบบนั้นอยู่ล่ะนะ
แถมเมย์ฟาก็ยังคอยตามมาคุ้มกันผมในที่ที่มองไม่เห็นอีกด้วย
ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ยัยนั่นก็คงเข้ามาปกป้องอยู่แล้วนี่นะ
ยังไงก็ถือว่ามีเส้นทางที่จะขอความช่วยเหลือได้อยู่แหละ
“ถะ ถ้างั้น ช่วยเข้าไปในนี้ด้วยนะคะ”
ผมถูกนำทางโดยผู้หญิงที่ดูกลัวอะไรบางอย่างมาตั้งแต่ต้นจนถึงปลายทางเลย
ที่ที่ผมมาถึงก็เหมือนว่าจะเป็นเต็นท์ผู้หญิงล่ะ
แต่แน่นอนว่าเต็นท์ที่อยู่ตรงนั้นมันไม่ใช่ของคุณซิลเวีย
เต็นท์สีชมพูแบบนี้ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะเป็นเต็นท์ของลิลิธจัง
ที่เป็นน้องสาวต่างแม่ของคุณซิลเวียล่ะ
ผมหันไปหาผู้หญิงที่นำทางมา
“ให้ผมเข้าไปได้งั้นเหรอครับ? ที่นี่น่ะมีแค่ญาติกับคู่หมั้นที่เข้าได้ไม่ใช่เหรอครับ?”
“ระ เราทำการแยกผู้คนรอบๆออกหมดแล้วล่ะค่ะ ถ้าเกิดว่าท่านเข้าไปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาล่ะก็ ท่านลิลิธก็จะต้องเป็นคนรับผิดชอบค่ะ…”
“……”
เท่าที่มองย้อนกลับมาจนถึงตอนนี้แล้ว
ผมไม่เห็นรู้สึกว่าลิลิธจังจะมารับผิดชอบตรงไหนเลย
ในขณะที่ผมกำลังลังเลว่าจะเข้าไปดีรึเปล่านั่นเอง
จู่ๆผู้หญิงที่เป็นคนนำทางก็น้ำตาไหลออกมา
“ขะ ขอโทษนะคะ ถ้าคุณไม่รีบเข้าไปล่ะก็ เดี๋ยวคนอื่นจะมานะคะ ฉะ ฉันไม่อยากเรื่องนี้มันส่งผลเสียต่อคุณ เพราะงั้นรีบเข้าไปข้างในด้วยเถอะค่ะ”
“…เข้าใจแล้วครับ”
หลังจากที่ลังเลอยู่ซักพักหนึ่ง ผมก็ตัดสินใจที่จะเข้าไปข้างใน
ถึงเรื่องนี้มันจะกลายมาเป็นปัญหาในภายหลังก็เถอะ
แต่ว่าผมเป็นฝ่ายที่ถูกเรียกมานี่นา
แถมผมก็ยังมีคุณซึกิคาเงะกับเมย์ฟา
ที่จะคอยเป็นพยานให้ได้ว่าผมถูกเรียกเข้าไปในเต็นท์จริงๆอยู่ด้วย
พอผู้หญิงคนนั้นได้ยินคำตอบของผม เธอก็ทำหน้าโล่งใจทันที
จากนั้นเธอก็ส่งเสียงเบาๆเข้าไปในเต็นท์ว่า[พาท่านเรียวมาเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ ท่านลิลิธ]
หลังจากนั้น แทนที่จะมีคำตอบกลับมา จู่ๆก็มีบางอะไรบางอย่างเกิดขึ้นที่นอกเต็นท์
เหมือนจะมีเสียงอะไรบางอย่างกระทบเข้ากับทางเข้าเต็นท์จนส่วนที่กระทบนั้นงอไปเลย
“ฮี้….!”
หญิงสาวผู้นำทางคนนั้นยักไหล่ขึ้นด้วยความหวาดกลัว
“อย่ามัวแต่ชักช้าสิ รีบๆเข้ามาข้างในได้แล้ว! เดี๋ยวก็มีใครมาเห็นเข้าหรอก!”
“ขะ ขออภัยด้วยค่ะ ขออภัยด้วยค่ะ”
ผมมองไปหาผู้หญิงที่กำลังหวาดกลัวจนตัวสั่น
แล้วผมก็เดินเข้าไปข้างในทั้งๆแบบนั้น โดยที่ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรเลย
“รบกวนหน่อยนะครับ ว่าแต่มีเรื่องอะไรจะพูดกับผม–“
ถ้าเป็นงี้ล่ะก็ รีบจบเรื่องแล้วก็รีบกลับเลยดีกว่า
พอตัดสินใจได้แบบนั้นแล้วผมก็เดินเข้าไปข้างใน
แล้วพอผมได้เห็นผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าผม ผมก็ถึงกับตัวแข็งทื่อไปเลย
“หื้ม เป็นการทักทายที่ดูโง่เง่าจริงๆ ซิลเวียนี่ก็ตาต่ำในการมองผู้ชายเหมือนกันนะ”
–ลิลิธจังกำลังสวมชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธุ์อยู่ล่ะ
แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วล่ะนะ
เพราะวันนี้มันคือวันจัดงานแต่งนี่นา ไม่ใช่วันก่อนซะหน่อย
ผมมัวแต่คิดเรื่องการถูกเรียกตัวมาอย่างกระทันหันเท่านั้น
จนลืมคิดถึงเรื่องที่ลิลิธจังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปเลย
นั่นก็เพราะว่าผมเองก็ยังไม่ได้เปลี่ยนชุดเลยนี่นะ
ชุดแต่งงานของลิลิธจังเป็นสีขาวและมีดีไซน์ที่แตกต่างจากคุณซิลเวียและคุณคาร์ล่าเมื่อวานนี้
ความสั้นของกระโปรงนี่ น่าจะเรียกได้ว่าสั้นที่สุดแล้วเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย
แค่ขยับนิดเดียว ก็คงจะเห็นก้นเล็กๆของเธอได้เลยล่ะมั้งนั่น
เธอใส่กางเกงรัดรูปที่ยาวถึงแค่กลางๆต้นขา
แต่เนื้อผ้ามันบางมากจนเห็นผิวขาวๆของเธอทะลุผ้า
ไหปลาร้ากับหน้าอกของเธอก็เปิดโล่งพอสมควร
ถ้าให้พูดตามตรงแล้วต้องบอกเลยว่าส่วนที่ชุดปกปิดอยู่น่ะมีน้อยมากจริงๆเลยล่ะ
ชุดเป็นชุดเดรสกระโปรงสั้นสีขาวบริสุทธิ์ประดับด้วยดอกกุหลาบสีชมพูเล็กๆ
ส่วนผมทวินเทลของเธอก็ประดับด้วยดอกกุหลาบเช่นกัน
ดูน่ารักมากซะจนทำให้ผมลืมสถานการณ์ตอนนี้ไปเลยล่ะ
ถ้าก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดเรื่องอะไรมาก่อน ผมก็คงจะชมเธอไปแล้วล่ะ
“…เดี๋ยวเถอะ ฟังอยู่รึเปล่า? มัวแต่จ้องอะไรอยู่ได้น่ะ?”
เพราะผมไม่ตอบ ลิลิธจังก็เลยเดินเข้ามาหาผมอย่างหงุดหงิด
เนื่องจากชุดของเธอมันเปิดหน้าอกเยอะมาก
พอมองจากด้านบนผมก็เห็นหัวนมของเธอผ่านช่องว่างของชุดนั้นได้เลยล่ะ
ผมก็เลยเผลอมองไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลิลิธจังเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นรึเปล่า
เธอก็เลยมีเลศนัยออกมา
“อะไรกัน หรือว่าคุณพี่เนี่ย จะรู้สึกสนใจหัวนมของผู้หญิงงั้นเหรอ♡? คุณภรรยาอยู่เต็นท์ตรงนั้นเองแท้ๆนะ เป็นคุณสามีที่นิสัยไม่ดีเอาซะเลยนะ♡?”
พอพูดแบบนั้นเสร็จ
เธอก็เอานิ้ววางลงบนชุดตรงหน้าอกของเธอแล้วเลื่อนมันลงมา
ถึงผมจะมองไม่เห็นหัวนมของเธอ
แต่ผมก็พอจะมองเห็นขอบหัวนมสีชมพูอ่อนของเธอได้นิดหน่อย
“หยุดเลยนะ ถ้ามีใครมาเห็นเข้าเดี๋ยวคนเค้าก็เข้าใจผิดหรอกนะ? ว่าไปแล้วทำไมถึงเรียกมาแบบนี้ล่ะ?”
“หืม?”
หลังจากที่จัดการเรื่องหน้าอกของเธอได้แล้ว
ลิลิธจังก็ยิ้มออกมาอีกครั้งหนึ่ง
“นั่นสินะ…ก่อนที่เราจะเข้าเรื่องกัน ก่อนอื่นเรามาฟังนี่กันก่อนดีมั้ย?”
ลิลิธจังเดินไปภายในเต็นท์และหยิบวัตถุสี่เหลี่ยมสีดำที่อยู่ตรงกลางโต๊ะขึ้นมา
เท่าที่ดูเหมือนว่ามันจะทำมาจากเหล็กนะ…
“นี่น่ะนะ เป็นไอเทมที่สามารถบันทึกเสียงได้ล่ะ”
“บันทึก?”
“ใช่แล้ว ถ้ามันอยู่ไกลเกินไปมันก็ใช้ไม่ได้หรอกนะรู้มั้ย? แต่ถ้าอยู่ภายในระยะไม่กี่เมตรล่ะก็ ใช้ได้ไม่มีปัญหาเลยล่ะนะ”
ลิลิธจังทำอะไรบางอย่างกับไอเทมเวทย์มนตร์ในมือ
ด้วยรอยยิ้มที่เหมือนกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง
และจากนั้นเสียงก็เริ่มดังออกมา
[มะ ไม่ใช่นะครับ! ครั้งนี้ผมกับคุณซิลเวียน่ะแค่แต่งงานกันหลอกๆเพื่อรับมรดกเฉยๆเท่านั้นแหละครับ! ไม่ได้จะแต่งงานกันจริงๆนะครับ!]
–นั่นคือเสียงของผมเมื่อสองวันก่อนนั่นเอง