อามุนด์…! ไคลน์พึมพำ
เดิมที ชายหนุ่มเคยคิดว่าผู้เย้ยเทพในเมืองเงินพิสุทธิ์บนดินแดนเทพทอดทิ้ง คือหนึ่งในลูกหลานของตระกูลอามุนด์ผู้พัฒนาตัวเองทีละนิดจนไต่เต้าไปถึงระดับครึ่งเทพ แต่ข้อมูลล่าสุดทำให้ไคลน์ต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่ทั้งหมด บางที อามุนด์คนนั้นอาจอยู่มานานกว่าสองพันปีและเป็นหัวเรือใหญ่ของตระกูลมาตั้งแต่ยุคสมัยที่สี่!
ตำนานผู้ยังมีลมหายใจ… แล้วทำไมถึงต้องสร้างหลุมศพให้ตัวเอง การทำเช่นนี้ไม่น่าจะเป็นลางดีสักเท่าไร…แกล้งตายเพื่อให้รอดพ้นจากสถานการณ์บางอย่าง? หรือจะทำไปเพราะเหตุผลอื่น เช่นพิธีกรรมสำหรับหยุดเวลาร่างกายตัวเอง? มันมีอายุยืนยาวมาจากยุคสมัยที่สี่ก็เพราะช่วงชิงอายุขัยจากผู้อื่น?
เราเคยคาดเดาว่าอามุนด์อาจอยู่ในลำดับ 3 หรือ 2 แต่หลังจากทราบข้อมูลใหม่ในวันนี้ การจะสมมติให้อามุนด์เป็นลำดับ 1 ก็คงไม่เกินจริงสักเท่าไร…สำหรับสัตว์ประหลาดอายุกว่าสองพันปีโดยไม่สูญเสียความทรงจำแบบมิสเตอร์อะซิก การพัฒนาไปถึงจุดดังกล่าวนับเป็นเรื่องปรกติ…
ไคลน์ยืนครุ่นคิดสลับกับมึนงงเป็นระยะ สมองชายหนุ่มทำงานหนักจนคล้ายกับหม้อน้ำเดือดปุดโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
ขณะเดียวกัน หุ่นกลของฮารามิคใช้มือข้างหนึ่งกระชากเนื้อตรงคอออก เผยให้เห็นความซับซ้อนของกลไกภายใน
เสียงของมันดังจากช่องดังกล่าวโดยอาศัยหลักการสั่นสะเทือนของอากาศ
“ตรวจสอบศพ ห้ามเข้าใกล้ผม”
“ขอรับ เจ้าคุณท่าน!” ไอคานส์และสมาชิกคนอื่นขานรับพร้อมกับทำสีหน้าโล่งใจ
ปัจจุบัน ซากศพของคณะสำรวจได้กลายเป็นตะกอนพลังนานแล้ว บางส่วนผสานกับอวัยวะจนเกิดเป็นสมบัติวิเศษ
ไม่เพียงเท่านั้น คณะสำรวจยังพกพาสิ่งของราคาแพงติดตัวหลายชิ้น!
จิตแห่งจักรกลกำไรเอาเรื่อง…มีทั้งกรอบรูปวิญญาณและตะกอนพลังเงามืดหนังมนุษย์อีกหลายชิ้น มากพอจะปกปิดค่าใช้จ่ายในยุทธการ ‘เก็บกวาด’ แสนสิ้นเปลืองนั่นได้…
ยิ่งลงทุนมากก็ยิ่งกำไรมาก…
ไคลน์ก้มมองพื้นพลางครุ่นคิด
จนกระทั่ง ชายหนุ่มถอนหายใจแผ่วพลางเดินตามฮารามิคผู้ไม่ได้ถือตะเกียง ไปยังผนังอีกฝั่งของโลงศพ
ทันใดนั้น กระจกวิเศษอาโรเดสช่วยปรับแสงรอบตัว ทำให้บรรยากาศในจุดดังกล่าวสว่างพอจะมองเห็นรายละเอียด
ไคลน์สังเกตเห็นว่าผนังส่วนใหญ่เริ่มเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วจากเหตุการณ์ ‘เร่งเวลา’ เมื่อครู่ จิตรกรรมฝาผนังหลายชิ้นถูกผุกร่อนจนไม่เหลือเค้าเดิม และไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อีก
เหลือไว้เพียงภาพเดียวซึ่งยังคมชัดราวกับของใหม่ เป็นภาพสีสันฉูดฉาด ถูกวาดไว้ในตำแหน่งเหนือสุดของกำแพง บางส่วนของภาพล้ำขึ้นไปในเขตโดมสูงด้านบน
องค์ประกอบหลักในภาพคือแนวเทือกเขาทอดยาว จุดสูงสุดของยอดเขามีกางเขนใหญ่ตั้งเด่นตระหง่าน
รอบกางเขนแผ่แสงทรงกลดเจิดจ้า มอบกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์เหนือคำบรรยาย
ด้านหน้ากางเขนมีบุคคลร่างกายใหญ่มหึมายืนโดดเด่น ใบหน้าไม่คมชัด แต่ตัวใหญ่เสียจนแนวเทือกเขาเป็นราวกับสัตว์เลี้ยงซึ่งกำลังหมอบกราบแทบเท้าบุคคลผู้นั้น
รอบตัวบุคคลปริศนาเต็มไปด้วยเทวทูตสองปีก สี่ปีก และ หกปีกจำนวนมาก เทวทูตแต่ละตนกำลังตั้งใจบรรเลงเครื่องดนตรี ไม่ว่าจะเป็นแตร ฮาร์ป หรือฟรุต
ด้านล่าสุดของแนวเทือกเขายาว บริเวณตีนเขา เทวทูตสิบสองปีกสองตนกำลังบรรจงขึ้นเขาด้วยท่าทีนอบน้อม
แต่ละตนอุ้มทารกหนึ่งคนไว้ในอ้อมอก
ทารกคนซ้ายมีเส้นผมสีดำหยักศก
คนขวาสีทองอ่อน
คนซ้ายมีดวงตาสีดำสนิท
คนขวาทองอร่าม
ระหว่างแนวเทือกเขาทอดยาวยังมีภาพของยักษ์ถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน และมังกรถูกมัดขาทั้งสองข้างจนไม่สามารถโบยบินได้อีก
ฮารามิคมองไปทางเด็กผมดำคนซ้ายมือ สีหน้าอ่อนโยนและใจดีของอาร์ชบิชอปพลันเคร่งขรึมเป็นครั้งแรก
มันเปล่งเสียงแผ่วเบากับตัวเอง
“อามุนด์…”
ถัดมา ฮารามิคหันไปมองเด็กคนขวา มันเงียบงันสองสามวินาทีก่อนจะพึมพำ
“อาดัม…”
อามุนด์ อาดัม…
ขณะทวนชื่อทั้งสอง ไคลน์เริ่มตระหนักว่าม่านหมอกของยุคสมัยที่สี่และสามเริ่มทวีความดำมืดจนยากจะมองเห็นความจริง
มันพยายามนำข้อมูลทั้งหมดมาปะติดปะต่อและลองคาดเดา
ณ ยอดเขาสูงสุด บุคคลผู้ยืนหน้ากางเขนศักดิ์สิทธิ์ ถูกรายล้อมโดยเทวทูต และทำให้ยักษ์กับมังกรยอมจำนวน จะต้องเป็นเทพลำดับ 0 สักเส้นทางอย่างแน่นอน… หากจะถามว่าใครชอบใช้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ เรานึกออกแค่พระผู้สร้างแท้จริงตนเดียว… ตามตำนานกล่าวไว้ว่า ตระกูลอามุนด์สืบเชื้อสายมาจากเทพสุริยันบรรพกาลโดยตรง แต่บุคคลบนยอดเขาไม่เหมือนกับเทพสุริยันสักเท่าไร…
หรือจะเป็น ‘มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง มหาเทพผู้รังสรรค์ทุกสิ่งจากต้นกำเนิด’ ตามความเชื่อของเมืองเงินพิสุทธิ์?
ถ้าอย่างนั้นก็จะสอดคล้องกับตำนานของเมืองเงินพิสุทธิ์พอดี หลังจากพระผู้สร้างลืมตาตื่นขึ้น พระองค์ทำการริบอำนาจของราชาคนยักษ์ มังกรจินตภาพ และเทพบรรพกาลตนอื่นคืนทันที…
หมายความว่าเทพสุริยันบรรพกาลคือพระผู้สร้างในความหมายของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์? พระองค์คงมีพลังในขอบเขตของ ‘สุริยัน’ และ ‘เวลา’ นอกจากนั้นยังแย่งชิงขอบเขตการปกครองมาจากราชาคนยักษ์ เออเมียร์ และมังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวลด้วย…
นี่มันเหนือกว่าลำดับ 0 ไปแล้ว…
อาจหมายความได้ว่า อามุนด์คือทายาทผู้สืบทอดพลังด้าน ‘เวลา’ มาจาก ‘มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง มหาเทพผู้รังสรรค์ทุกสิ่งจากต้นกำเนิด’ ของเมืองเงินพิสุทธิ์…
ถ้าอย่างนั้นก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมอามุนด์ถึงแฝงตัวอยู่ในเมืองเงินพิสุทธิ์โดยไม่ทำอะไรเลยนานกว่าสี่สิบปี…
นอกจากนั้นยังมีทายาทของ ‘มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง มหาเทพผู้รังสรรค์ทุกสิ่งจากต้นกำเนิด’ นามว่าอาดัมอีกตน…
แล้วอาดัมสืบทอดพลังชนิดใดไป? เขายังมีลูกหลานเหลืออยู่เหมือนกับอามุนด์ไหม และถ้ามี จะเป็นตระกูลใดกัน…
พระผู้สร้างแท้จริงกับบุคคลปริศนามีความสัมพันธ์ในลักษณะใด? เป็นแค่ผู้ลอกเลียนแบบโดยนำชื่อ ‘พระผู้สร้าง’ และสัญลักษณ์ ‘กางเขน’ ไปแอบอ้าง…? หรือจะเคยมีความสัมพันธ์กันจริง?
ไคลน์ไม่แสดงออกทางสีหน้ามากนัก มันกังวลว่ากระจกวิเศษอาโรเดสอาจคอยจับตามองอยู่ และพบว่าตนไม่ใช่ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่ตรงตามจินตนาการ
ฮารามิคยืนสำรวจจิตรกรรมฝาผนังสักพัก ก่อนจะขยับไปข้างหน้าสองก้าวและเหยียดฝ่ามือสัมผัสกับกำแพง
เพียงพริบตา จิตรกรรมฝาผนังโบราณอันประเมินค่ามิได้ พลันร่วงกราวลงบนพื้นโดยปราศจากสุ้มเสียง แม้กระทั่งสีสันฉูดฉาดก็ยังระเหิดหายไปกับอากาศอันว่างเปล่า
โบสถ์จักรกลไอน้ำมีนโยบายปกปิดและทำลายร่องรอยของยุคสมัยที่สามที่สี่ทั้งหมดทิ้งสินะ… โบสถ์อื่นจะเป็นแบบนี้ด้วยไหม?
ไคลน์ขมวดคิ้วพลางเดินตามหุ่นกลของฮารามิคไปยังอีกฝั่ง
หลังจากเดินวนครบครึ่งวงกลม พวกมันค้นพบเบาะแสใหม่
คราวนี้เป็นประตูหินจำลอง ใช้การจริงไม่ได้ในเชิงกายภาพ ถูกสร้างหลบตรงมุมห้อง
ทันใดนั้น เสียงข้อต่อในตัวหุ่นกลฮารามิคเริ่มเสียดสี แต่ก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายหยุดการเคลื่อนไหว อาร์ชบิชอปรีบเข้าประชิดประตูหินพร้อมกับยื่นแขนขวาออกไปเตรียมสัมผัส
แต่ก่อนจะได้แตะต้อง แสงกระเพื่อมคล้ายวารีพลันสว่างขึ้นเหนือบานประตูหิน ฉายเป็นภาพวิวทิวทัศน์สมจริงราวกับผู้จ้องมองถูกดึงเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์
ภายใน ‘จอภาพ’ คลื่นน้ำสีน้ำเงินเข้มกำลังล้อมรอบบางสิ่ง ถัดขึ้นไปเป็นทะเลหมอกสีดำลักษณะคล้ายกับของเหลวข้น
เหนือทะเลหมอกสีดำมียังผาหินสูงชันยื่นยาวเสียดฟ้า ตามซอกหลืบของหน้าผามีของเหลวข้นสีดำไหลซึม
ด้านหลังผาหินเป็นทะเลหมอกกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาจนมองไม่เห็นเส้นบรรจบขอบฟ้า
ไม่เพียงความไกล แม้แต่ระดับความลึกก็ไม่สามารถกะเกณฑ์ได้ด้วยตาเปล่า ยิ่งมองก็ยิ่งมืดและพบความเงียบสงบ คล้ายกับหากตกลงไปจะไม่มีวันได้สัมผัสพื้นด้านล่าง
อยู่แถวไหนของโลก…?
ไคลน์พึมพำโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
ฮารามิครีบชักมือกลับและแหงนมองฉากบนจอภาพจนกระทั่งเริ่มเลือนหายไป
อาร์ชบิชอปก้มหน้าลงเล็กน้อยพลางพึมพำด้วยอารมณ์ซับซ้อน
“นรก…”
นรก…? ต้นกำเนิดการกัดกร่อนทั้งมวล? กล่าวกันว่าแม้แต่เทพตัวจริงก็ยังถูกกัดกร่อน!
ไคลน์กำลังตกตะลึง แต่ภายนอกได้ใช้พลังตัวตลกปั้นหน้านิ่ง
ชายหนุ่มหวนนึกถึงข้อความในไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ทันที อีกฝ่ายเดินเรือออกนอกเส้นทางและทำการทิ้งประโยคสุดฉงนไว้ว่า :
“21 เมษายน เราได้เห็น… …นรก”
เมื่อลองพิจารณาคลื่นน้ำสีน้ำเงินเข้มรอบทะเลหมอกสีดำ มันพยายามสร้างข้อสันนิษฐาน
…ทางเข้านรกอยู่แถวไหนสักแห่งภายในทะเลหมอก?
ถัดมา ชายหนุ่มจ้องมองบานประตูหินและเริ่มคาดเดาว่า หลังจากสร้างสุสานของตัวเองจนเสร็จ อามุนด์ได้สร้างอุโมงค์วิญญาณเพื่อเดินทางไปยังนรก โดยปล่อยให้ทุกคนคิดว่าตนตายไปแล้ว
ส่วนเมืองเงินพิสุทธิ์และดินแดนเทพทอดทิ้งจะอยู่ในนรกหรือไม่นั้น ไคลน์ยังไม่มีข้อสรุปเพราะขาดหลักฐานรองรับ สุสานแห่งนี้มีอายุไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปี อามุนด์อาจเดินทางไปยังนรกก่อน จากนั้นค่อยเดินทางต่อไปยังดินแดนเทพทอดทิ้งซึ่งอยู่คนละแห่ง
บางที มันอาจกลับมาดูดซับอายุขัยของเหยื่อในสุสานเป็นระยะ…
ชักอยากรู้แล้วว่า อามุนด์จะทำหน้าอย่างไรหลังจากทราบว่าหลุมศพของตนถูกรื้อค้นกระจุยกระจายเช่นนี้…
ไคลน์เกิดความตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
ทันใดนั้น หุ่นกลของฮารามิคใช้ฝ่ามือขวาจับข้อมือซ้ายตัวเองแน่ถนัด
แกร่ก! ข้อมือซ้ายของมันบิดงอเข้าหาลำตัวในลักษณะผิดรูป แต่ปราศจากรอยเลือดหรือกระดูกน่าหวาดเสียว
ภายในข้อมือซ้ายมีท่อเหล็กขนาดใหญ่ถูกสอดอยู่!
ท่อนแขนทั้งท่อนของฮารามิค·ไฮเดินคือปืนใหญ่เวทมนตร์ขนาดย่อส่วน!
สมกับเป็นอาร์ชบิชอปประจำโบสถ์จักรกลไอน้ำ มีอาวุธล้ำยุคเช่นนี้ซ่อนเป็นไพ่ตาย… แต่การติดอาวุธหนักคงสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาล ทำให้ไม่สามารถกระจายออกไปในระดับกองทัพได้ แต่ก็เพียงพอจะสร้างเป็นอาวุธประจำกายของบุคคลสำคัญ…
เหตุการณ์ในวันนี้นับว่าเปิดหูเปิดตาไคลน์เป็นอย่างมาก มันได้เห็นอีกมุมหนึ่งของเส้นทางผู้วิเศษซึ่งใช้คนละหลักการกับของตนโดยสิ้นเชิง
เนื่องจากกฎความถาวรของพลังพิเศษ โบสถ์จักรกลไอน้ำจึงมีตะกอนพลังและวัตถุดิบหลักโอสถไม่เพียงพอสำหรับสร้าง ‘ช่างฝีมือ’ เป็นจำนวนมาก ทำไม่สามารถผลิตอาวุธทรงประสิทธิภาพได้ล้ำหน้าโบสถ์อื่น
หุ่นกลฮารามิคทำการเหยียดแขนซ้ายไปยังประตูหินจำลอง
ทันใดนั้น เสียงเฟืองและกลไกภายในร่างกายอาร์ชบิชอปเริ่มร้องคำราม ตามด้วยการสะสมของละอองพลังวิญญาณปริมาณมหาศาลไว้ในจุดเดียว
‘ปืนใหญ่’ ทำการยิงลำแสงอันเจิดจ้ายิ่งกว่ายามเที่ยงตรง ใส่บานประตูหินซึ่งถูกคาดหมายว่าเป็นประตูไปสู่นรกของอามุนด์
เพียงพริบตา ประตูหินจำลองถูกป่นจนแหลกเป็นผุยผงประหนึ่งไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
ข…เขาทำลายประตูทิ้ง?
คงน่าสนุกไม่น้อยถ้าอามุนด์ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติและพยายามส่งตัวเองกลับมาด้วยประตูบานนี้…
และพบว่ามันไม่อยู่แล้ว… ฮะฮะ!
ไคลน์เกือบหลุดขำขณะจินตนาการ
วิดีโอบันทึกปฏิบัติการสำรวจสุสานอามุนด์จบลงตรงนี้ ภาพการมองเห็นไคลน์ ‘ซูมออก’ จนกลายเป็นเพียงจอขนาดเล็กท่ามกลางความมืดมิดรายล้อม
ทันใดนั้น กระจกโบราณลึกลับปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ดวงตาสองข้างซึ่งทำจากอัญมณีพลันส่องแสง
ข้อความสีขาวถูกเขียนขึ้นบนกระจก :
“ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่าน อาโรเดส ขอจบการรายงานแต่เพียงเท่านี้ กระหม่อมยินดีอำนวยความสะดวกให้ท่านทุกเมื่อ”
ไคลน์ยังคงหวาดระแวงกระจกนิสัยเสียและเทิดทูนตนอย่างไร้เหตุผล จึงเพียงพยักหน้ารับตามมารยาท
“ทำดีมาก กลับไปได้”
“ขอรับ ท่านผู้ยิ่งใหญ่เหนือโลกวิญญาณ” เมื่อข้อความของอาโรเดสถูกเขียนจบประโยค นิมิตความฝันไคลน์พลันแตกเป็นเสี่ยงๆ
หลังจากยืนยันว่าอาโรเดสไปจากฝันของตนแล้ว ชายหนุ่มครุ่นคิดกับตัวเอง
ผู้ยิ่งใหญ่เหนือโลกวิญญาณ? เจ้านั่นสัมผัสถึงออร่ามิติสายหมอกได้จริงด้วย…
กระจกวิเศษนิสัยเสียตนนั้นหวังรับใช้และพึ่งพาเราจากใจจริง หรือมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงกันแน่?
เราไม่ควรหลงดีใจ อีกฝ่ายยังอยู่ในการครอบครองของจิตแห่งจักรกล หากผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ทางนี้คงถูกปืนใหญ่กระหน่ำยิงจนเหลือเพียงเศษขี้เถ้า…
เมื่อจัดการความคิดตัวเองเสร็จ ไคลน์เฝ้ารอวันต่อไปด้วยใจจดจ่อ
ในเมื่อจิตแห่งจักรกลดำเนินภารกิจสำรวจสุสานเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาได้เลือกหนึ่งในของรางวัลตอบแทน!
……………………