ในเมื่อซ่งหลินหลินที่เข้าอกเข้าใจเขาตกหลุมรักเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เขาตัดสินใจว่าไม่ว่าเขาจะต้องทำอย่างไร เขาก็จะต้องอยู่กับเธอให้ได้
ทว่าเขานึกไม่ถึงว่าเขาจะทำให้เธอตกอยู่ในสภาพน่าสงสารขนาดนี้
หากเขาย้อนเวลากลับไปได้ เขาคงไม่มีวันมายุ่งเกี่ยวกับซ่งหลินหลิน อย่างไรเสียหากไม่ใช่เพราะเขา ซ่งหลินหลินคงยังเป็นนักร้องแถวหน้าที่มีอนาคตสดใสอยู่
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ความมุ่งมั่นที่จะจากไป๋ชิงอีไปก็ยิ่งแน่วแน่มากขึ้น
กลางดึกคืนนั้น ไป๋ชิงอียังคงจับตามองสามีตัวเองอย่างไม่ก้าวไปไหนแม้แต่น้อย หากแต่ชายที่นอนอยู่บนเตียงกลับเหงื่อแตกพลั่กไปทั้งตัว
ไม่นานหลังเธอจากไป เสียงพูดคุยกันดังก้องมาจากโถงทางเดิน สามีของไป๋ชิงอีลุกขึ้นและเห็นผู้ชายในชุดสูทดำสองคนเดินมาหาหาเขา ก่อนจะช่วยพยุงเขาขึ้นนั่งรถเข็น
“เดี๋ยวครับ ช่วยผมเอาแล็ปท็อปจากใต้เตียงให้ที
“มีวิดีโอที่แสดงว่าผมเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวอยู่ครับ”
หนึ่งในชายชุดสูทสีดำทำตามคำของเขาและคว้าแล็ปท็อปมาให้ก่อนจะวางลงในมือเขา หลังจากนั้นทั้งสามคนจึงได้ออกจากโรงพยาบาลไป ตอนนี้เองที่ลูกน้องของไป๋ชิงอีวิ่งตามพวกเขาออกมา “คุณทำอะไรน่ะ”
อย่างไรก็ตามชายในสูทดำทำเพียงหันไปมองลูกน้องไป๋ชิงอี เพียงแวบเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้ตัวว่าไม่ควรไปมีเรื่องกับพวกเขา
พวกเขาได้แผ่รังสีอาฆาตมาถึงเขา
เมื่อเห็นดังนั้น สามีของไป๋ชิงอีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกในท้ายที่สุด นี่หมายความว่าในที่สุดเขาก็กำลังจะได้หนีไปจากผู้หญิงคนนี้สักที ในจังหวะนี้เขายอมสละทุกอย่างแค่ได้เป็นอิสระ
“พอคุณออกจากโรงพยาบาล ประธานโม่จัดการให้คุณให้สัมภาษณ์กับสื่อเพื่อกันเรื่องยุ่งยาก คุณบอกเรื่องที่คุณทุกข์ทรมานทุกอย่างพร้อมกับหลักฐานของคุณกับพวกเขาได้เลยครับ”
ชายหนุ่มกระชับแล็ปท็อปตัวเองและพยักหน้าให้ “ผมเข้าใจแล้วครับ…”
โม่ถิงกลัวว่าเขาจะกลับคำ แต่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาจัดการเช่นนี้ เขาเกรงว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไป ไป๋ชิงอีต้องทำบางอย่างทันทีที่รู้ว่าสามีของเธอหลบหนีไปอยู่แล้ว
ไม่นานทั้งสามคนก็มาถึงบริเวณทางเข้าโรงพยาบาล เมื่อนักข่าวเห็นพวกเขาก็พุ่งเข้ามาหาทันที “คุณหรง เราได้ยินมาว่าคุณมีข่าวใหญ่จะเปิดโปงคืนนี้…”
“คุณหรงครับ ทำไมคุณถึงหนีออกมาจากโรงพยาบาลกลางดึกล่ะครับ”
“ทุกคนใจเย็นก่อนครับ ผมจะชี้แจงทุกอย่างอย่างละเอียดกับพวกคุณ” เขาว่าพลางถือแล็ปท็อปตัวเองเอาไว้ หลังจากสื่อมวลชนถอยออกไปเล็กน้อยและสงบลง เขาจึงเริ่มอธิบาย “ทุกอย่างที่ผม หรงซิ่วหยวน บอกกับสื่อในการสัมภาษณ์เมื่อเช้านี้ รวมถึงสิ่งที่ผมกล่าวหาซ่งหลินหลิน ไป๋ชิงอีเป็นคนที่บังคับผมครับ ซ่งหลินหลินไม่ได้รู้ตั้งแต่แรกว่าผมยังไม่หย่าเพราะผมยอมรับว่าตัวเองเอาใบหย่าปลอมให้เธอดูครับ
“ซ่งหลินหลินต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยมาตั้งแต่แรก ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับผมและการแก้แค้นของไป๋ชิงอีครับ
“พวกคุณคงไม่รู้ว่าตั้งแต่ผมแต่งงานกับไป๋ชิงอี ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยทำกับผมเหมือนคนปกติเลย เธอทำทุกอย่างตามใจชอบและถ้าผมขัดคำสั่งเธอ เธอก็จะไปฟ้องพ่อและสุดท้ายผมก็จะถูกทำร้ายร่างกาย
“ผมรู้ว่าพอพูดถึงเรื่องการคบชู้ ไม่มีอะไรที่ผมจะกลับไปแก้ไขเรื่องนี้ได้ แต่พวกคุณคงไม่รู้ว่าผมอยากหย่ามากขนาดไหน ผมแค่ไม่กล้าพอที่จะทำมันเท่านั้นเอง ผมรู้ว่าถ้าพูดถึงมันผมก็คงจะถูกทำร้ายร่างกายอีก อาการบาดเจ็บที่ผมได้รับตอนที่เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลครั้งนี้ยังถือว่าเบาครับ”
“คุณกำลังจะกล่าวหาว่าภรรยากับพ่อตาของคุณใช้ความรุนแรงในครอบครัวเหรอครับ” สื่อเริ่มช่วยชี้นำให้เขาเข้าประเด็นหลัก
“ใช่ครับ” เขาพยักหน้า “ความจริงแล้ว มันเกิดขึ้นมานานหลายปีแล้วครับ”
“แสดงว่าซ่งหลินหลินไม่เคยปลอมข้อความที่คุยกัน แล้วคุณก็หลอกเธอจริงๆ ใช่ไหมครับ”
“ครับ ซ่งหลินหลินไม่รู้เรื่องมาตั้งแต่ต้นจนจบครับ…”
“ถ้าอย่างนั้น คุณมีหลักฐานพิสูจน์ว่าตระกูลไป๋ใช้กำลังกับคุณหรือเปล่าคะ คุณรู้ผลที่จะตามมาจากการใส่ความแชมป์มวยปล้ำใช่ไหมคะ”
“หลักฐานเหรอครับ ผมมีแน่นอนอยู่แล้ว!”
พูดจบ หรงซิ่วหยวนชูแล็ปท็อปในมือตัวเองขึ้นมา
“ผมมีหลักฐานในแล็ปท็อปของผมเพียบเลย ผมจะส่งให้พวกคุณหลังจากนี้คุณจะได้ใช้เปิดเผยความจริงให้สาธารณชนได้รับรู้”
สื่อพากันถ่ายรูปแล็ปท็อปไม่หยุด อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องแค่เรื่องความบริสุทธิ์ใจของซ่งหลินหลิน แต่ยังเกี่ยวกับตัวแทนระดับชาติที่ทุกคนต่างภาคภูมิใจอีกด้วย ผู้ชนะอย่างไป๋เส่าอวี้จะยอมรับว่าใช้ความรุนแรงจริงๆ หรือ
หรงซิ่วหยวนนั้นกล้าหาญ ถึงอย่างไรเขาก็ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเล่นงานตระกูลไป๋ แต่ในตอนนั้นเองที่ไป๋ชิงอีมาถึงโรงพยาบาลหลังรู้เรื่อง เธอฝ่ากองทัพนักข่าวเข้าไปและเขวี้ยงแล็ปท็อปของสามีลงกับพื้น
ทุกคนเห็นเหตุการณ์ที่ค่อยๆ เผยออกมา
ไป๋ชิงอีน่าจะเป็นผู้หญิงบอบบางและอ่อนโยนไม่ใช่หรือ
ทำไมอยู่ๆ เธอถึงได้ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกันล่ะ
เธอไม่ได้ปริปากออกมาสักคำกับพวกเขาขณะที่ยืนอยู่ต่อหน้านักข่าว กลับหัวเราะออกมาก่อนเอ่ยกับสามีตัวเอง “คุณสามีคะ ฉันคิดว่าถึงเวลาที่คุณต้องกินยาแล้วละค่ะ คุณคงต้องป่วยหนักแน่…”
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้หลักฐานที่เขาควรมีได้ถูกทำลายไปแล้ว ทีนี้เขาจะทำอะไรได้อีก
“ไป๋ชิงอี คุณยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อปิดบังความจริงสินะ”
“คุณสามี นี่เป็นเรื่องในครอบครัวนะคะ คุณไม่ควรพูดถึงมันอย่างโจ่งแจ้งแล้วทำให้ครอบครัวขายหน้าสิ อีกอย่างใครจะพิสูจน์ได้ว่าคุณมีหลักฐานจริงๆ ละ”
“มันต้องไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้วสิ ก็ตอนนี้คุณปามันลงพื้นไปแล้วนี่…”
“โอ๊ะ ขอโทษทีนะคะ อย่างนั้น…”
หรงซิ่วหยวนปรายตามองไป๋ชิงอี สุดท้ายเขาจึงได้แต่สะกดกลั้นอารมณ์ไว้ขณะบอกกับบอดี้การ์ดด้านหลังเขา “ไปกันเถอะครับ…”
แน่นอนว่าไป๋ชิงอีไม่อาจรั้งสามีตัวเองต่อหน้านักข่าวได้ หากแต่อย่างน้อยหลักฐานก็ได้ถูกทำลายแล้ว ทีนี้ไห่รุ่ยจะใช้ลูกไม้อะไรได้อีก
นักข่าวมองแล็ปท็อปที่ยับเยินก่อนมองไป๋ชิงอีด้วยความตกตะลึง
หากเธอไม่มีเรื่องต้องปิดบัง ทำไมเธอต้องกลัววิดีโอที่สามีตัวเองต้องการเปิดเผยด้วย การที่เธอทำลายแล็ปท็อปทำได้เพียงพิสูจน์กับสื่อมวลชนว่าหรงซิ่วหยวนนั้นพูดความจริง
เป็นอีกครั้งที่สถานการณ์ได้พลิกผัน
เดิมทีทุกคนคิดว่าซ่งหลินหลินทำลายชีวิตคู่ของคนอื่น แต่หลังจากนั้นซ่งหลินหลินก็บอกว่าเธอถูกหลอกลวง ต่อมาไอ้เลวนี่ได้กล่าวหาว่าซ่งหลินหลินโกหก ทว่าเมื่อสักครู่นี้เขากลับถอนคำกล่าวหาทั้งหมดของตัวเองแล้วบอกว่าภรรยากับพ่อตาของเขาทำร้ายร่างกายเขาเสียอย่างนั้น
ความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ ผู้คนต่างเพลิดเพลินกับการแสดงครั้งนี้
อย่างไรก็ตามปัญหาก็คือหลักฐานของไอ้หมอนั่นได้ถูกทำลายไปแล้ว หมายความว่าไม่มีทางที่จะพิสูจน์สิ่งที่เขาพูดได้ไม่ใช่หรือ
อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่ไป๋ชิงอีคิดไว้
เธอได้ค้นหากล้องทุกตัวในบ้านและทำลายพวกมันไปแล้ว เธอจึงมั่นใจว่าสามีที่ไร้น้ำยาของเธอไม่มีทางที่จะเอาชนะเธอได้
เขาอยากจะหย่าแล้วไปเสวยสุขกับนังนั่นอย่างนั้นหรือ ไม่มีทางซะหรอก!
ว่าแต่มันจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ