หลังเกิดเรื่องขึ้นกับหนานกงเฉวียนพักหนึ่ง ผู้อาวุโสหนานกงสงบลงอย่างน่าแปลกใจหลังจากได้ขึ้นคุมชุนชิว อันที่จริงเขาออกจะ…สงบเสงี่ยมลงมากเสียด้วยซ้ำ
ทว่าไม่มีใครกล้าประมาทเพราะไม่รู้ว่าอยู่ๆ เขาจะก่อเรื่องและทำเรื่องบ้าๆ อีกหรือไม่!
หนานกงเฉวียนนอนอยู่ในโรงพยาบาลอยู่เกือบทั้งอาทิตย์ ระหว่างสัปดาห์นี้ซูโยวหรานใจสลายนับครั้งไม่ถ้วน อันที่จริงมีหลายครั้งที่เธอนึกสิ้นหวัง
หมอบอกว่าฤทธิ์ยาได้แล่นเข้าสู่สมองของหนานกงเฉวียนแล้ว โอกาสที่เขาจะฟื้นขึ้นมาจึงมีสูงพอๆ กับโอกาสที่เขาจะจากไป
ซูโยวหรานต้องเจอกับช่วงเวลาที่น่าลุ้นและผิดหวังหลายครั้งในอาทิตย์นั้น แต่เธอก็ยังรู้สึกกลัวเช่นกัน
ทุกครั้งที่หนานกงเฉวียนขยับตัวเพียงเล็กน้อย เธอสะดุ้งโหยงในทันทีทว่าก็ต้องตกลงมาจากฟากฟ้ากลับลงสู่ก้นบึ้งของขุมนรกครั้งแล้วครั้งเล่า
จริงอยู่ที่เดิมทีซูโยวหรานคิดโทษตระกูลโม่ และรู้สึกเกลียดชังโม่ถิงกับถังหนิง
ทว่าเมื่อเวลาผ่านพ้นไป เธอค่อยๆ ใจเย็นลง หนานกงเฉวียนไม่เคยโทษตระกูลโม่ แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรไปทำเช่นนั้น
ความจริงแล้วสามีของเธอเป็นคนใจกว้างอย่างมาก ทำไมเธอถึงเป็นแบบนั้นบ้างไม่ได้กันล่ะ
เมื่อคิดเช่นนั้น เธอผ่อนคลายและปล่อยวางทุกอย่าง ตอนนี้ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอคือการที่หนานกงเฉวียนฟื้นขึ้นมา
ในขณะเดียวกันเสี่ยวต้านเขอมาเยี่ยมพ่อของเธอทุกวัน ทุกครั้งที่เห็นพ่อตัวเองนอนนิ่งอยู่บนเตียง ทำให้เธอเศร้าใจเหลือเกิน
“แม่คะ เสี่ยวต้านเขอจะเสียพ่อไปไหมคะ”
ทุกครั้งที่ซูโยวหรานได้ยินคำถามทำนองนี้จากเสี่ยวต้านเขอ เธอปวดใจราวกับถูกเข็มมากมายทิ่มแทง แต่เธอกลั้นน้ำตาไว้ก่อนตอบ “ไม่ค่ะ พ่อไม่มีทางทิ้งเราไปไหนหรอกนะคะ”
“แต่พ่อหลับมาหลายวันแล้วนะคะ พ่อไม่ต้องการไฉ่เอ๋อร์อีกแล้วเหรอคะ”
“ต้านเขอเป็นเด็กดีขนาดนี้ ทำไมพ่อจะไม่ต้องการหนูล่ะคะ เชื่อแม่นะ พ่อจะต้องไม่เป็นไรอย่างแน่นอนค่ะ!”
ตลอดช่วงเวลานี้ สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดคือเรื่องที่ผู้อาวุโสหนานกงทำร้ายหลานชายตัวเองอย่างแสนสาหัส แต่นับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องเขาก็ยังไม่ปรากฏตัวมาให้เห็นอีก ไม่เพียงจะไม่มาเยี่ยมยังไม่แม้จะโทรมาถามไถ่อาการด้วยซ้ำ คนเราจะใจเหี้ยมได้ขนาดนี้เชียวหรือ
ซูโยวหรานนึกสงสัยในมนุษยธรรมอยู่หลายครั้งหลายครา
…
ในขณะที่ถังหนิงสั่งให้ลู่เช่อแอบคอยตามอาการของหนานกงเฉวียน เมื่อได้ยินว่าเขายังไม่ได้สติเธอก็ผิดหวังเป็นอย่างมากเช่นกัน
หากแต่นอกจากจะรู้สึกเห็นใจ เธอยังลงมือโทรไปหาถังอี้เฉินและเล่าอาการของหนานกงเฉวียนให้ฟัง
“เขาอยู่โรงพยาบาลไหนล่ะ พวกเขายื้ออาการจากยานรกอย่างนั้นได้ยังไงกัน” ถังอี้เฉินมีท่าทีอึ้งไปไม่น้อย
“เธอหมายความว่าเธอมั่นใจว่าจะทำให้เขาหายได้งั้นเหรอ” ถังหนิงรู้สึกมีหวัง
“ฉันคงทำไม่ได้หรอก แต่ด้วยฝีมือลู่กวงหลีมันง่ายนิดเดียว เขาทำได้ด้วยตัวเองคนเดียวด้วยซ้ำ” ถังอี้เฉินตอบ “ย้ายตัวเขามาให้เรา แต่ฉันต้องถามเธอก่อนว่าทำไมเธอถึงได้เป็นห่วงคู่อริขนาดนี้ล่ะ”
“หนานกงเฉวียนไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเลยไงละ” น้ำเสียงถังหนิงสลดเล็กน้อย “เขาเป็นคนซื่อสัตย์ที่ใจกว้าง แล้วก็เป็นพี่ชายที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่งเลยละ”
“โอเค ฉันจะปล่อยให้พวกเธอจัดการว่าจะย้ายตัวเขามาที่โรงพยาบาลทหารยังไงแล้วกัน”
หลังคุยกับพี่สาวเสร็จ ถังหนิงเล่าเรื่องที่รู้มากับโม่ถิงทันที
เมื่อได้ยินสิ่งที่ถังอี้เฉินบอก โม่ถิงพยักหน้ารับ “ถ้าผู้อาวุโสหนานกงทำเรื่องนี้จริง เขาคงไม่อยากให้หนานกงเฉวียนฟื้นขึ้นมาแน่ มันเลยอาจต้องพยายามหนักสักหน่อยที่จะย้ายหนานกงเฉวียนออกมาจากโรงพยาบาลปัจจุบัน”
“ฉันรู้เรื่องนั้นค่ะ” ถังหนิงยื่นแขนออกไปกอดสามีของเธอไว้ “ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองติดค้างอะไรกับใครเลย แต่ครั้งนี้ฉันว่าเราติดค้างหนานกงเฉวียนไว้นะคะ”
โม่ถิงวางคางลงบนศีรษะถังหนิงก่อนเอ่ยเห็นด้วย “ตระกูลโม่ติดค้างเขาไว้ครับ…
…เราเป็นฝ่ายเดียวกัน ดังนั้นจะนับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกันไม่ได้ พอตาเฒ่านั่นพยายามหาทางแก้แค้น เขาจะละเว้นลูกๆ ของเราจากแผนร้ายของเขาเหรอครับ”
เดิมที่นี่เป็นเรื่องน่ากังวลที่ต้องพูดออกมา แต่เมื่อมันมาจากปากของโม่ถิงอยู่ๆ มันก็ฟังดูชวนให้บีบคั้นจิตใจเหลือเกิน
“ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำให้คุณรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างนี้”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ ไม่ว่าเราจะเจอกับเรื่องดีหรือแย่ ใจของเราก็จะผูกกันไว้ตลอดค่ะ” ถังหนิงกระชับกอดสามีแน่น “รีบจัดการเถอะค่ะ ฉันมั่นใจว่าโยวหรานต้องกระวนกระวายใจแน่ๆ”
“คุณต้องบอกเรื่องนี้กับโยวหรานก่อนนะครับ…” โม่ถิงเอ่ยเตือน
“ค่ะ ฉันจะโทรหาเธอหลังจากนี้ค่ะ ไม่ต้องห่วง”
ทั้งคู่ต่างแยกย้ายไปจัดการส่วนของตัวเองตามแผน ครั้งนี้พวกเขากำลังจะช่วยคนออกมาจากโรงพยาบาล ดูผิวเผินซูโยวหรานดูเหมือนจะเป็นอิสระ แต่ในความเป็นจริงนั้น ไม่มีใครรู้ว่ามีสายสืบของผู้อาวุโสหนานกงอยู่รอบตัวเธอมากเพียงไหน
ถังหนิงจึงต่อสายหาซูโยวหรานอย่างระมัดระวัง ตอนแรกซูโยวหรานลังเลใจแต่ในที่สุดเธอก็รับสาย
“โยวหราน ฉันมีข่าวดีมากบอก แต่ฉันต้องการให้เธอร่วมมือด้วย ฉันเล่าเรื่องอาการของหนานกงเฉวียนให้พี่สาวฉันฟังแล้ว แล้วเธอก็มั่นใจว่าจะทำให้เขาฟื้นขึ้นมาได้ด้วย…”
“จริงเหรอคะ” ซูโยวหรานพลันมีความหวังขึ้นมา
“แต่มันต้องใช้ความพยายามในการย้ายตัวหนานกงเฉวียนออกมาจากโรงพยาบาลสักหน่อย เธอคงรู้ว่าผู้อาวุโสหนานกงมีสายสืบอยู่ทั่วโรงพยาบาล”
“แค่เขาฟื้นขึ้นมา ฉันยอมทำทุกอย่างค่ะ” ซูโยวหรานลดเสียงลงอย่างระวังตัว “บอกฉันมาได้เลยค่ะว่าต้องทำอะไรบ้าง”
“ตอนนี้ถิงกำลังจัดการอยู่ เรากำลังคิดว่าทางที่ดีที่สุดคือการติดสินบนหมอของหนานกงเฉวียน เราจะแสร้งว่าเขาต้องผ่าตัดด่วนแล้วรีบส่งตัวเขาไปห้องฉุกเฉิน ในระหว่างที่เขาอยู่ในนั้นเราจะแต่งตัวเหมือนเขาเป็นคนไข้คนอื่นและส่งตัวเขามาที่โรงพยาบาลทหาร หลังจากที่ได้รับการรักษาเราก็จะพาเขากลับไป…
…ถ้าหนานกงเฉวียนฟื้นขึ้นมาได้สำเร็จ เธอต้องบอกให้เขาแกล้งสลบไปก่อนเพื่อความปลอดภัยของเขา เข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะทำตามที่บอก” ซูโยวหรานตอบเสียงเบา
“ทนไว้อีกหน่อยนะ!”
ซูโยวหรานน้ำตาไหลออกมาด้วยความยินดี โชคดีที่เธอไม่ได้กดวางสายใส่ถังหนิง ไม่อย่างนั้น…
…เธออาจสูญเสียโอกาสที่จะช่วยชีวิตสามีของเธอไว้
“ถังหนิง ขอบคุณนะคะ ฉันซาบซึ้งในน้ำใจของพวกคุณทั้งสองคนจริงๆ ค่ะ”
“พยายามทำตัวให้แนบเนียนที่สุดนะคะ”
หญิงสาวทั้งสองคนไม่ได้คุยกันนานนักด้วยเกรงว่าจะถูกสายสืบของผู้อาวุโสหนานกงจับได้
หลังจากนั้นซูโยวหรานแกล้งตบตาและกลับมาทำทีเหมือนก่อนที่จะไปคุยโทรศัพท์ แต่ลึกๆ ในใจกลับโห่ร้องไปด้วยความยินดี ในที่สุดสามีของเธอก็มีโอกาสรอด
หากเรื่องดำเนินต่อไปแบบนี้ เธอคงต้องเริ่มโทษพระเจ้าที่ไม่ยุติธรรมและไร้ความปรานีเสียเหลือเกิน
วันถัดมาซูโยวหรานได้รับข้อความจากถังหนิง พวกเขาวางแผนจะลงมือเช้าวันนั้น มีหลายขั้นตอนที่เตรียมการเอาไว้ พวกเขาจึงมั่นใจว่าต่อให้พวกเขาย้ายคนไข้ออกไปก็คงไม่มีใครนึกสงสัย
ซูโยวหรานเพียงแค่ต้องช่วยหมอและเล่นไปตามน้ำเท่านั้น
หลังมื้อเช้าพยาบาลเข้ามาในห้องหนานกงเฉวียนเพื่อตรวจร่างกายอย่างเคย เธอเห็นเลือดในปากของเขาจึงเรียกหมอทันที
หมอรีบเข้ามาและตรวจอาการหนานกงเฉวียน ก่อนบอกกับพยาบาล “เตรียมห้องผ่าตัดด่วน ผมอาจต้องผ่าตัดสมองเขาเป็นการฉุกเฉิน”
ซูโยวหรานปล่อยโฮออกมาก่อนจะตามหนานกงเฉวียนไปตลอดทาง กระทั่งหยุดอยู่หน้าประตูห้องฉุกเฉิน
“ญาติไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามานะคะ กรุณารอที่นี่ด้วยค่ะ!”