หลังหลงมั่นกับหลินเฉี่ยนจากไป ถังหนิงเดินเข้ามาในห้องของโม่จื่อเฉิน มองลูกชายตัวเองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง เธอถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มีเรื่องไม่สบายใจเหรอลูก”
โม่จื่อเฉินหันมาส่ายหน้าให้ขณะมองแม่ตัวเอง “ไม่ครับ ผมไม่เป็นไร”
“แม่คลอดลูกมา คิดว่าแม่จะไม่รู้ว่าลูกคิดอะไรจริงๆ เหรอคะ” ถังหนิงเอ่ยพลางเดินเข้าไปหา “ในโลกใบนี้ แม่กับพ่อของลูกเป็นคนเดียวที่เข้าใจและช่วยลูกได้นะ”
ตั้งแต่เด็กโม่จื่อเฉินเป็นคนประเภทที่จะบอกแต่ข่าวดีเท่านั้น แม้ว่าเขาจะถูกรังแกเขาก็ไม่เคยบอกแต่อย่างใด ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะแบกรับไว้ด้วยตัวเองเสมอ
แต่เมื่อเธอเห็นลูกชายเติบโตและเงียบลงมาก เธอก็เจ็บปวดใจเกินบรรยาย
“แม่จะไม่ถามถึงงานของลูกหรอกนะเพราะแม่ไม่มีสิทธิ์ แต่แม่จะแบ่งเบาภาระเรื่องส่วนตัวอยู่ตรงนี้เสมอนะ”
“แม่ครับ…” โม่จื่อเฉินอดไม่ได้ที่จะโผกอดถังหนิงและซบศีรษะลงบนไหล่ของเธอ “ลูกสะใภ้ของแม่ไม่อยู่แล้วครับ”
“เกิดอะไรขึ้นล่ะ”
โม่จื่อเฉินไว้ใจถังหนิง เขาจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง มันเกี่ยวข้องกับความลับเบื้องหลังตัวตนของเชียนหลาน
หลังจากถังหนิงได้ยินเรื่องทุกอย่าง เธอเริ่มหัวเราะออกมา “ถ้าเด็กคนนั้นส่งตัวเองไปในกองทัพอย่างไม่ลังเลจริงๆ เธอก็หุนหันพลันแล่นไม่น้อยเลยนะเนี่ย”
“แม่ครับ!”
“ก็ได้ แม่จะไม่พูดเล่นแล้ว แต่ลูกจ๋า ผู้หญิงเราอ่อนไหวนะ ถ้าลูกชอบเธอจริงงั้นแม่ก็มั่นใจว่าลูกคงไม่อยากเห็นเธอเจ็บปวดหรอก แม่ค่อนข้างอึ้งที่เธอเด็ดเดี่ยวกับการตัดสินใจของเธอตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนี้นะ เธอทำเพื่อลูกแล้วก็ตัวเธอเองด้วย
“พวกลูกทั้งสองคนยังเด็กและก็ยังมีโอกาสอีกมาก แม่ถึงเข้าใจว่าลูกรู้สึกยังไง แต่แม่บอกลูกได้เลยว่าเด็กสาวคนนี้ชอบลูกจริงๆ นะ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่พยายามอย่างหนักเพื่อเติบโตในฐานะมนุษย์คนหนึ่งหรอก
“อย่าคิดมากน่า จื่อเฉิน โลกใบนี้อาจกว้างใหญ่ แต่มีไม่กี่คนที่เข้าใจกันและกันหรอกนะ
“ตราบใดที่ลูกต้องการมันมากพอ เดี๋ยวทั้งสองก็จะได้มาเจอกันอีกอยู่ดี ดังนั้นมันไม่ใช่จุดจบสักหน่อย มันเป็นการเริ่มต้นต่างหาก
“ถึงเวลาที่ลูกชายแม่ต้องเติบโตแล้ว”
หลังได้ยินคำพูดของถังหนิง โม่จื่อเฉินรู้สึกดีขึ้นมาก “แม่ครับ ไม่มีใครพูดด้วยได้ดีเท่าแม่แล้ว”
“ลูกรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วใช่ไหม”
“ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมากเลยครับ” โม่จื่อเฉินพยักหน้าหน้า
“ดีมาก ตอนนี้ลูกจะไปช่วยน้องทำการบ้านได้หรือยังล่ะ แม่ไม่รู้จะทำยังไงกับเด็กคนนั้นแล้ว”
อย่างที่ถังหนิงบอก โม่จื่อเหยียนยังคงเรียนอยู่ เธอทั้งเป็นกันเอง ร่าเริง และออกจะซุกซนไปบ้าง
“ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ” โม่จื่อเฉินตอบ
ความจริงแล้วโม่จื่อเฉินคิดถึงบ้านมาก โดยเฉพาะสมาชิกครอบครัวของเขา ไม่มีใครเคยทะเลาะกันในบ้าน อย่างน้อยก็เท่าที่เขาจำความได้ เขาไม่เคยเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันสักครั้ง แม่ของเขารักลูกๆ และพ่อของเขาก็รักภรรยาตัวเอง
มันทำให้โม่จื่อเฉินอยากจะกลับบ้านมาอยู่ข้างพ่อแม่ตัวเองหลายครั้งในระหว่างช่วงที่ฝึก
แต่เขารู้ว่าตัวเองต้องเด็ดขาด
ในฐานะเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง ไม่มีสิ่งใดที่เขาเตรียมการล่วงหน้าได้และไม่มีกำลังเสริมจากกองทัพ เขาไม่มีสิ่งใดนอกจากการวิ่งอย่างไม่หยุดหย่อนและภัยอันตราย หากแต่นี่เป็นงานที่ใครบางคนต้องทำ ใครบางคนที่ต้องการปกป้องผู้บริสุทธิ์
เขามีระดับสติปัญญาเหนือกว่าปกติ หากเขาไม่ใช้มันให้เป็นประโยชน์มันคงจะเสียเปล่าไม่ใช่หรือ
ถังหนิงกับโม่ถิงมีสิ่งที่หวังเอาไว้ แต่พวกเขาไม่เคยแทรกแซงการตัดสินใจของเขา แม้ว่าพวกเขาจะเป็นห่วงความปลอดภัยของเขา พวกเขาก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่งที่ไม่นึกถึงตัวเอง
หลังจากได้สติกลับมา โม่จื่อเฉินลงไปห้องโม่จื่อเหยียนชั้นล่าง เมื่อเห็นเธอกำลังทุลักทุเลกับโจทย์คณิตศาสตร์ เขาเดินมาเคาะศีรษะเธอ “ยัยบื้อ เธอแก้โจทย์นี้ไม่ได้เหรอ”
“หนูไม่ได้ฉลาดอย่างพี่นี่คะ!” โม่จื่อเหยียน “พี่รอง ถ้าพี่กลับบ้านบ่อยกว่านี้ เลขของหนูคงไม่แย่ขนาดนี้หรอกค่ะ”
“ถ้าเธอใช้เวลาไปเรียบมากกว่านี้แทนที่จะไปเดต ทักษะเลขของเธอคงดีกว่าพี่ไปแล้ว”
“พี่รอง!”
เมื่อได้ยินน้องสาวโวยวาย โม่จื่อเฉินหัวเราะคิกคัก “ก็ได้ พี่ไม่แกล้งเธอแล้ว…เดี๋ยวเธอจะไปฟ้องแม่ทีหลัง…”
“ดีค่ะ!”
โม่จื่อเฉินดูโจทย์คณิตศาสตร์ตรงหน้าโม่จื่อเหยียนและนั่งลงข้างๆ เธอ “เดี๋ยวพี่จะช่วยแก้โจทย์ข้อแรก ดูให้ดีๆ นะ”
โม่จื่อเหยียนมองหน้าโม่จื่อเฉินแล้วอดไม่ได้ที่จะแตะรอบแผลเป็นบนหน้าผากของเขา “มันใช้ชีวิตลำบากตลอดหลายปีมานี้ไหมคะ”
“มันไม่ได้แย่อย่างที่เธอคิดหรอกนะ” เขาเอ่ยพลางเคาะปากกาลงบนศีรษะน้องสาว “ตั้งใจหน่อย…”
“หนูแค่เป็นห่วงพี่เฉยๆ …”
โม่จื่อเฉินลูบศีรษะน้องสวก่อนเขียนวิธีทำแก้โจทย์คณิตศาสตร์ข้อแรกทั้งหมดให้
“พี่ไม่เป็นไร”
“พี่ขา กลับบ้านเถอะค่ะ”
โม่จื่อเฉินไม่ตอบ เขาทำเพียงแก้โจทย์คณิตศาสตร์จนเสร็จและส่งคืนให้น้องสาว
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากกลับบ้าน แต่เขากลับบ้านไม่ได้ต่างหาก! เขามีภาระความรับผิดชอบบนบ่ามากเกินไป
“พี่จะกลับบ้านมาเยี่ยมเธอบ่อยๆ แล้วกัน”
“หนูไม่เชื่อพี่หรอก” โม่จื่อเหยียนสวนกลับ “พี่กับพี่ใหญ่ไม่เคยรักษาสัญญาเลย เป็นครูมันดีตรงไหนกันคะ ทำไมเราสองคนไม่แจ้งเกิดด้วยกันแล้วกลายเป็นดาราดังล่ะคะ”
เขาเขกศีรษะเธอเมื่อเห็นน้องสาวตัวเองคิดไปกันใหญ่ “ใครจะมาดูคนหน้าตาน่าเกลียดอย่างเธอกันล่ะ ทำการบ้านไปเลย!”
“โอเคค่ะ”
ในขณะที่พี่น้องพูดคุยกัน ถังหนิงมองภาพที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่หน้าประตูและหันกลับไปปาดน้ำตา เธอรู้สึกว่าตัวเองติดค้างกับโม่จื่อเฉินมากเหลือเกิน ถึงอย่างไรเขาก็ใช้ชีวิตตัวคนเดียวมานานหลายปี
เธอต้องการชดเชยให้แต่ดูเหมือนว่าลูกชายของเธอจะไม่ต้องการสิ่งใด
มันไม่ง่ายที่เขาจะตกหลุมรักกับผู้หญิงสักคน แต่เขากลับต้องเจ็บปวดแทบตายในท้ายที่สุด…
“แม่ครับ ผมไม่ไปงานเลี้ยงคืนนี้นะครับ”
โม่จื่อเฉินหันมาบอกหญิงสาวทั้งสอง ขณะที่ถังหนิงกับโม่จื่อเหยียนเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมไปงานครบรอบไห่รุ่ยในคืนนั้น “แม่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบปรากฏตัวในที่สาธารณะ”
“แต่ว่า พี่รอง…”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า” ถังหนิงพยักหน้าพลางประทับจูบลงบนหน้าผากลูกชาย เธอไม่ได้ออกปากคัดค้าน “พอมีเวลาก็กลับบ้านมาบ่อยกว่านี้นะลูก”
“ครับผม”
พูดจบถังหนิงก็พาโม่จื่อเหยียนขึ้นรถ อย่างไรก็ตามโม่จื่อเหยียนมีท่าทีไม่สบอารมณ์ “แม่คะ…”
“พ่อของลูกรอเราอยู่นะ เลิกงอนได้แล้ว” ถังหนิงปลอบ
“หนูแค่คิดถึงพี่รองนี่คะ” โม่จื่อเหยียนแทบร้องไห้ออกมา “แม่ไม่เห็นแผลทั้งหมดที่แขนของพี่ตอนที่พี่ช่วยหนูทำการบ้านเหรอคะ ครูที่ไหนมีแผลเยอะขนาดนี้ พี่รองไปต่อสู้มาเหรอคะ”
ถังหนิงกอดลูกสาวก่อนกล่าวปลอบอย่างอ่อนโยน “เหยียนเอ๋อร์ ทุกคนมีทางเลือกในชีวิตของตัวเองนะ ไม่ว่าจะเป็นลูกหรือพี่ชายของลูกก็ตาม
“สุดท้ายพวกลูกทุกคนก็จะลงหลักปักฐานกับครอบครัวของตัวเองแล้วจากแม่กับพ่อไป
“มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ลูกต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับมันนะ
“พี่รองของลูกกำลังทำในสิ่งที่เขาเชื่อว่าควรทำและถูกต้อง สิ่งที่เราควรทำก็คือสนับสนุนเขาแทนที่จะขัดขวาง เข้าใจไหมคะ”