แต่งงาน
รองเจ้ากรมหลี่ตะลึงงัน “ให้นักโทษสองคนนี้เข้าพิธีแต่งงาน เอ่อ…ดูท่าจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่นะพ่ะย่ะค่ะ”
“เพียงแค่ดำเนินพิธีเรียบๆ ในห้องขังเท่านั้น”
รองเจ้ากรมหลี่คิดพิจารณาไปครู่หนึ่งก็คล้ายว่าจะยอมอ่อนข้อให้ แต่การให้นักโทษสองคนแต่งงานกันในห้องขัง เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของต้าซวน จึงทำให้ไม่สามารถตัดสินใจได้ทันที
อวิ๋นหว่านชิ่นเองก็รู้สึกสับสนไม่เข้าใจ อยู่ดีๆ ท่านอ๋องก็เสนอให้สองคนนี้เข้าพิธีแต่งงานด้วยเหตุใด คงมิใช่เพื่อสนองความปรารถนาของสองคนนี้เพียงอย่างเดียวหรอกกระมัง
คนอย่างเขา มิน่าเอาใจใส่คนนอกถึงเพียงนี้
อวี้เหวินผิงรู้สึกงงงวยไม่ต่าง พลันมีความคิดแล่นผ่าน คล้ายว่าจะเดาจุดประสงค์เขาออก จึงขมวดคิ้วและพูดแทรกทันที “วันนี้เมื่อนำตัวนักโทษทั้งสองกลับห้องขัง ก็ย่อมต้องดำเนินโทษทันที หงซื่อดำเนินโทษประหารตัดหัวภายหลังคุมขังได้หนึ่งเดือน ยังพอได้ แต่เกรงว่าตามข้อกำหนดแล้ว สวี่มู่เจินพึงต้องส่งไปยังฝ่ายกระจายนักโทษตั้งแต่คืนนี้ ออกจากเมืองหลวงในวันรุ่งเช้า หากจะเข้าพิธีแต่งงาน ก็แสดงว่าต้องเลื่อนออกไปอีกหลายวัน ถ้าเช่นนั้น นี่เป็นการทำลายการตัดสินให้เกิดความวุ่นวายมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“น่าขำ” ซย่าโหวซื่อถิงหัวเราะแห้ง “นี่สมุหนายกคิดว่าจะดำเนินอย่างสามหนังสือหกพิธีการทั้งชุดอย่างนั้นรึ แค่ไหว้ฟ้าไหว้บรรพบุรุษในห้องขัง ดำเนินพิธีการให้สถานะ ให้ทั้งสองคนได้เป็นสามีภรรยาที่เที่ยงตรงโปร่งใสก็เพียงเท่านั้น จะเสียเวลาแค่ไหนเชียว”
อวี้เหวินผิงรู้สึกได้ว่าในเสียงหัวเราะของฉินอ๋องแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ เขาแอบหัวเราะแห้งแต่ตั้งใจแสดงความหวาดเกรงออกมา โดยลุกขึ้นหันหน้าเข้าหาคนๆ นั้น โน้มตัวลงพร้อมกับสองมือประสาน “กระหม่อมมิได้มีเจตนาจะขัดขวางฉินอ๋องแต่อย่างใด แต่ทว่าในของต้าซวนหาเคยมีประวัติการเข้าพิธีแต่งงานก่อนรับโทษเช่นนี้ไม่ หากครั้งนี้อนุญาต เกรงว่านักโทษอื่นๆ ก็อาจร้องขอทำตามจนสูญเสียการควบคุม ข้าเพียงแต่คิดเผื่อราชสำนักเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ซย่าโหวซื่อถิงฟังคำอธิบายอย่างนิ่งสงบและไม่เอ่ยคำใด ปล่อยให้อวี้เหวินผิงโน้มตัวถวายความเคารพอยู่อย่างนั้น เหมือนมองไม่เห็น
อวี้เหวินผิงกัดฟันรอให้เขาอนุญาตให้ลุกขึ้น หากว่าไม่ แล้วเขาลุกขึ้นเองก็เกรงว่าจะไม่ดี เขารู้ว่าท่านอ๋องตั้งใจกลั่นแกล้งตนให้เกิดความโมโห เขาทำได้เพียงโน้มตัวอยู่อย่างนั้นและไม่ขยับ ด่าได้เพียงในใจ
เมื่อความคิดเห็นทั้งสองฝ่ายไม่ตรงกัน บรรยากาศโถงศาลก็เริ่มตึงเครียด
รองเจ้ากรมหลี่ส่งสายตาให้กับถานหลังจงและขุนนางกรมยุติธรรมท่านอื่น ครั้งนี้ กลับไม่มีใครกล้าตัดสินใจใดๆ
ชัดแจ้งแล้วว่าทั้งสองคนกำลังชักเลื่อยๆ ไม้
ปัจจุบันฉินอ๋องบริหารราชการแผ่นดิน แต่อวี้เหวินผิงก็เป็นผู้ช่วยบริหารราชการแผ่นดิน
หากฉินอ๋องเป็นคลื่นลูกใหม่ งั้นอวี้เหวินผิงก็คงเป็นต้นเก่ารากแกร่ง ประหม่าไม่ได้เช่นกัน!
ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ไม่สามารถล่วงเกินอีกฝ่ายได้ ยังไงก็พูดยาก ขุนนางกรมยุติธรรมหลายท่านจึงมิกล้าเอ่ยปากเพราะกลัวจะหาเรื่องใส่ตัวแทน
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ในสถานการณ์อันตึงเครียด ก็พลันมีเสียงรายงานดังก้องมาจากด้านนอกกรม “เหนียนกงกงจากประตูเหลืองตงกงมาขอรับ”
สวี่มู่เจินมีสติทันทีราวกับได้รับยากระตุ้นหัวใจ เขาพยายามลุกตัวออกจากแขนของนายทหาร จากนั้นส่งสายตาให้กับหงเยียนซึ่งเปล่งประกายไปด้วยความหวัง
หงเยียนเข้าใจในทันใดกับคำพูดของเขาเมื่อครู่นี้ ที่ว่าจะไม่ให้โดนประหารตัดหัว คุณชายสวี่มีความสัมพันธ์อันดีกับไท่จื่อ เดิมทีก็ใกล้จะได้เข้ารับราชการในจวนจันซื่ออันเป็นสถานที่ที่อยู่ใต้การปกครองของไท่จื่อ
ในเมื่อแขกส่วนตัวเกิดเรื่อง เกือบแปดเก้าสิบส่วนจะต้องได้รับความสนใจจากไท่จื่อเป็นแน่ และถึงเวลานั้นเขาก็ร้องขอไท่จื่อให้ช่วยเขาได้ เขาคงคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วเป็นแน่
ทหารประตูเหลืองของตงกง ไท่จื่อส่งคนมางั้นรึ
รองเจ้ากรมหลี่ลุกขึ้น ลงบันไดเดินเข้าไปต้อนรับพร้อมกับเหล่าขุนนาง เมื่อเห็นกงกงผู้สวมชุดวังหลวงมาถึงก็รีบเข้าไปถามไถ่ “ได้ข่าวว่าไท่จื่อบาดเจ็บจากการตกจากหลังม้า ยังรักษาตัวอยู่จนถึงวันนี้ มีเหตุอันใดถึงต้องให้กงกงมาถึงกรมยุติธรรมด้วยตนเองเช่นนี้”
ทหารประตูเหลืองของตงกงผู้แซ่เหนียนท่านนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นคุ้นหน้าเป็นอย่างดี เมื่อตอนรับโทษอยู่ที่อารามฉางชิง คนที่มาเรียกตัวและพาเข้าออกตงกงทุกครั้งก็คือเขา เขาเป็นคนสนิทที่ไท่จื่อไว้ใจ เขาไม่ได้ตอบคำถามของรองเจ้ากรมหลี่ทันที เพียงสะบัดแส้ปัด ชำเลืองมองสวี่มู่เจินหนึ่งที เดินตรงเข้าไปย่อตัวลงด้วยการเรียกคนมาพยุงเขาไว้ จากนั้นหยิบผ้าเช็ดหน้าลายบุปผาออกมาจากหน้าอก ทำการเช็ดคราบเลือดที่ยังเหลืออยู่ตรงปากให้กับสวี่มู่เจินด้วยตัวเอง “โธ่ๆๆ เหตุใดคุณชายสวี่ถึงตกต่ำถึงเพียงนี้!”
“เหนียนกงกง นี่——” รองเจ้ากรมหลี่งงงวยไม่เข้าใจ
เหนียนกงกงถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันกลับไปพลางเอ่ย “คุณชายสวี่ เป็นคนที่ไท่จื่อต้องการจะผลักดัน อีกไม่กี่วัน ก็จะได้เข้าจวนจันซื่อแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าในเวลาอันสำคัญเช่นนี้ จะเกิดเรื่องขึ้นจนได้ เห้อ”
เหล่าขุนนางเข้าใจทันที ที่แท้ก็เป็นคนของไท่จื่อนั่นเอง ในเมื่อเป็นคนของไท่จื่อ ไท่จื่อส่งคนมาดูเสียหน่อย ก็คงไม่มีอะไร
อวี้เหวินผิงกลัวแต่ว่าไท่จื่อมีความคิดอยากจะช่วยสวี่มู่เจิน จึงกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เหนียนกงกง นักโทษยอมรับผิดแล้ว คดีก็ถูกตัดสินเรียบร้อย ให้เนรเทศไปยังหลิงหนาน นับว่าให้ความเมตตากรุณาอย่างที่สุดแล้ว”
เหนียนกงกงหันไปจ้องเขม่นหนึ่งที จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชากว่า “สมุหนายกกำลังกลัวว่าไท่จื่อส่งข้ามาให้ใช้เส้นสายงั้นรึ หึ!”
อวี้เหวินผิงชะงัก พลางด่าคำว่าคนรับใช้ชั้นต่ำอยู่ภายในใจ และไม่เอ่ยคำใด
เหนียนกงกงไม่อยากเสียเวลากับเขา จึงหันมาหาสวี่มู่เจินอีกครั้ง พลางแสดงท่าทีทอดถอนใจ “คุณชายสวี่ เหตุใดท่านถึงบุ่มบ่ามเช่นนี้ ไท่จื่อประทับที่ตงกงพอได้ยินเรื่องของท่าน ก็เป็นกังวลจนไฟในตัวแทบลุกไหม้”
สวี่มู่เจินผลักมือของนายทหารออก เดินเข้าไปพลางเอ่ย “เหนียนกงกง ข้าคงทำให้ไท่จื่อผิดหวังแล้วใช่หรือไม่” พูดเสร็จ ก็แตะที่หน้าอกคล้ายว่าจะเป็นลม เหนียนกงกงมือไม้รวดเร็ว ยื่นมือเข้าไปพยุงไว้ได้ทันพอดี แต่แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองกลับเป็นฝ่ายที่ถูกคุณชายสวี่ดึงเข้าไปหา
สวี่มู่เจินใช้โอกาสนี้พูดใกล้หูเหนียนกงกงด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่ขอให้ไท่จื่อช่วยข้า แต่ขอให้ไท่จื่อช่วยชีวิตหงเยียนด้วย!”
ก่อนที่เหนียนกงกงจะเข้ามา ก็ได้สอบถามเหตุการณ์ด้านในจนรู้แจ้งหมดแล้ว พอได้ยินสิ่งที่สวี่มู่เจินพูด เขานิ่งไปแว๊บหนึ่ง ถึงลุกขึ้นเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น จากนั้นก็เอ่ยกับรองเจ้ากรมหลี่ “ใต้เท้าหลี่”
“ขอรับ”
“ข้าได้ยินว่าฉินอ๋องเสนอให้สวี่มู่เจินประกอบพิธีแต่งงานกับหงซื่อก่อนจะไปรับโทษ”
รองเจ้ากรมหลี่ตอบ “ใช่ขอรับ”
มุมปากของซย่าโหวซื่อถิงขยับขึ้น เขาเข้าใจแล้ว
เหนียนกงกงถอนหายใจเฮือกยาวๆ อีกครั้ง จากนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงแหลมไม่พอใจ “คุณชายสวี่อายุยังน้อย ยังไม่ออกเรือนก็ต้องถูกส่งไปยังที่กันดาร น่าเสียดายยิ่งนัก เพราะความรักที่มีให้กับหงซื่อ ถึงได้ทำความผิดอันใหญ่หลวงนี้ ข้อเสนอของฉินอ๋องเป็นข้อเสนอจากไท่จื่อเช่นกัน เก็บกวาดห้องขังหนึ่งห้องคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกกระมัง”
ตอนนี้อวี้เหวินผิงต้องเผชิญกับทั้งฉินอ๋องและไท่จื่อ ฝั่งไหนสำคัญมากกว่า ก็ตัดสินได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
รองเจ้ากรมหลี่ไม่ลังเลอีก เขาตัดสินใจไปอยู่อีกฝั่งทันที “ขอรับ ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้คนไปจัดการเดี๋ยวนี้”
เมื่ออวี้เหวินผิงเห็นว่าไท่จื่อมาทำถึงขนาดนี้แล้วนั้น ตัวเขาก็ทำได้เพียงหน้าดำคล้ำเครียด คงเอ่ยอะไรไม่ได้อีก
รองเจ้ากรมหลี่ออกคำสั่งตอนนั้นทันที ส่วนสวี่มู่เจินกับหงเยียนต่างถูกนำตัวกลับไปยังห้องขัง ไม้เคาะสติเคาะดังปั่ง อันมีความหมายว่าคดีนี้ได้จบลงแล้ว
เหล่าขุนนางเดินเรียงรายออกจากโถงศาล รวมถึงอวี้เหวินผิงก็ทูลลาและกลับไป
เหนียนกงกงเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว จึงลากลับด้วยเช่นกัน ก่อนออกไป เขาหันกลับมายิ้มให้กับพระชายาเอกฉินหนึ่งที
อวิ๋นหว่านชิ่นตะลึง และผงกหัวเบาๆ กลับ จากนั้นก็ยืนส่งกงกงออกไป
ซย่าโหวซื่อถิงหรี่ตาลง ไม่มีสีหน้าใดๆ “ไปกันเถิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นอยากคุยกับท่านอาอีกสักหน่อย จึงเอ่ย “ท่านอ๋องขึ้นรถม้าไปก่อน เดี๋ยวหม่อมฉันตามไปเพคะ”
ซย่าโหวซื่อถิงไม่ว่าอันใด จึงเดินออกไปพร้อมกับซือเหยาอัน
หลังจากทุกคนออกไปกันหมด อวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้าไปหาสวีเจ๋อเทาและเดินออกไปพร้อมกัน