ภายในศาลา บนพระแท่นปูด้วยพรมหนังสัตว์ มีชายหนุ่มนั่งอิงอยู่ อายุเกินวัยกลางคน สีหน้าซีดขาวชวนให้ตกใจ สวมชุดสีแดงหม่น แม้ดูเป็นผ้าชั้นดีสวยงามหรูหรา แต่ก็มิอาจเดาสถานะออกได้
อายุรุ่นราวคราวเดียวกับท่านพ่อ แต่รูปร่างซูบผอมกว่า แต่มีภูมิฐานบางอย่างที่ท่านพ่อไม่มี
สายตาของชายหนุ่มตกอยู่ที่ใบหน้าของอวิ๋นจิ่นจ้ง ไล่ดูประสาทสัมผัสทั้งห้าอย่างตั้งใจ ตั้งแต่คิ้ว จมูก ปาก แล้วนัยน์ตาราวกับมีบางอย่างแล่นผ่าน น้ำตาเริ่มคลอเบ้า ราวกับเริ่มหักห้ามความรู้สึกไม่ไหว กว่าจะเก็บความรู้สึกนั้นเข้าไปได้ก็ต้องใช้ความอดทนไม่น้อย “เจ้าคือจิ่นจ้งหรือ”
อวิ๋นจิ่นจ้งกลืนน้ำลายอึก “ใช่ขอรับ ไม่ทราบว่าท่านคือใคร ที่เรียกข้ามามีเรื่องอันใดจะรับสั่งหรือขอรับ”
เมื่อครู่นี้ชายหนุ่มมีอารมณ์ที่ผันผวนมากไปหน่อย จึงทำให้ไอค่อกแค่กอยู่หลายที “ไม่รีบ นั่งก่อนเถิด”
อวิ๋นจิ่นจ้งจัดชายชุดคลุมเสร็จก็นั่งลงพร้อมกับคอยสังเกตชายคนนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาป่วยหนักมาก แต่ถึงอย่างนั้น อาการป่วยก็มิอาจปิดบังความเป็นผู้สูงศักดิ์ไปได้ เวลาผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยขึ้น “ได้ยินเฉาจี้จิ่วพูดว่า ในบรรดานักเรียนที่อายุคราวเดียวกับเจ้าในกั๋วจื่อเจียน เจ้ามีการเรียนเป็นอันดับหนึ่ง แม้จะอยู่กลุ่มผู้อาวุโสกว่าก็ยังโดดเด่นกว่าหลายคน”
อวิ๋นจิ่นจ้งก้มหน้าก้มตาตอบ “ใต้เท้าอย่าล้อข้าเล่นเลยขอรับ คนเก่งในใต้ฟ้านี้มีเต็มไปหมด ข้าเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น”
ชายคนนั้นเห็นความถ่อมตนของเด็กชายก็รู้สึกปลาบปลื้ม หัวเราะเบาๆ สองที สายตานั้นจับจ้องอย่างตั้งใจกว่าเดิม แถมจะปกปิดความชอบใจไม่อยู่แล้ว “ได้ยินว่าตอนนี้เจ้าไม่ได้อยู่เรือนตัวเอง แต่ไปอยู่ที่จวนฉินอ๋องกับพี่สาวของเจ้าหรือ”
อวิ๋นจิ่นจ้งไม่รู้ว่าเขาคือผู้ใด แต่ก็สัมผัสได้ว่าคงมีตำแหน่งระดับหนึ่ง เกรงว่าอาจมีเรื่องเกิดขึ้นกับพี่สาวจนถูกใครบางคนจับได้ แต่เขาไม่สน พลันลุกขึ้นโพล่งออกไป “ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่สาวและพี่เขยของข้า เป็นเพราะก่อนหน้านี้ข้าไม่สบาย ท่านพี่เอ็นดูข้า เลยพาข้าไปรักษาตัวเท่านั้น!”
ชายคนนั้นเห็นความหวาดกลัวของเด็กชาย จากใบหน้าที่งดงามกลายเป็นย่นยู่ยี่ไปหมด “ไม่ต้องกลัวไป ข้ามิได้กล่าวโทษเจ้าเสียหน่อย”
อวิ๋นจิ่นจ้งถอนใจเฮือก แล้วชายคนนั้นก็ถามด้วยความสงสัย “ทำไมถึงล้มป่วยล่ะ ปีนี้เจ้าต้องเข้าร่วมการสอบครั้งสำคัญ ท่านพ่อของเจ้ามิได้ดูแลเจ้าเป็นอย่างดีหรือ ถึงจะล้มป่วย ก็ควรจะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากท่านพ่อนี่ ที่จวนอวิ๋นไม่มีคนดูแลหรืออย่างไร เหตุใดถึงต้องให้ท่านพี่ของเจ้ามาดูแลแทนล่ะ เจ้ากรมอวิ๋นทำอะไรอยู่กันแน่”
อวิ๋นจิ่นจ้งมิอยากแพร่งพรายเรื่องในครอบครัวออกไป เพราะถึงตอนนี้เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำอะไรอยู่กันแน่ จึงตอบไปเพียง “เพราะเปลี่ยนฤดู ข้าไม่ทันระวังดูแลตัวเอง ส่วนท่านพี่กับข้ามีมารดาคนเดียวกัน มารดาของข้าจากไปเร็ว ท่านพี่จึงดูแลข้าดุจแม่ดูแลลูก ทนอยู่ห่างข้าไม่ได้ เลยรับข้าเข้าไปอยู่ด้วยขอรับ”
ชายคนนั้นฟังอย่างตั้งใจ ใบหน้าพลางสั่นเล็กน้อย เงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้น “เด็กที่ไร้บุพพาการีดูแลลำบากที่สุด ท่านพี่ของเจ้านับว่าได้รับความสุขนั้นอยู่หลายปี แต่เจ้ายังไม่ทันเติบใหญ่ก็ต้องสูญเสียแม่ไป เหมือนเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่เด็ก คงใช้ชีวิตอย่างยากลำบากไม่น้อยเลยใช่มั้ย”
อวิ๋นจิ่นจ่งนึกสงสัย เหตุใดถึงกล่าวเหมือนว่าตนเป็นเด็กกำพร้าที่น่าสงสารขนาดนั้น อย่างไรเสียก็ยังมีท่านพ่อมิใช่หรือ…แต่ก็ตอบกลับอย่างจริงใจเพียงคำว่า “ข้าชินแล้วล่ะ ขอบใจใต้เท้าที่เป็นห่วงขอรับ”
อวิ๋นจิ่นจ้งพูดด้วยความนิ่งเรียบ แต่ชายคนนั้นกลับเกิดความรู้สึกเห็นใจ สีหน้าไร้ความนิ่งเรียบ
ผ่านไปครู่ใหญ่ ชายหนุ่มถึงเอ่ยขึ้น “อื้ม ต่อจากนี้ไปดูแลตัวเองให้มาก อย่าให้ล้มอีกล่ะ อีกครึ่งปีก็ต้องเข้าสอบแล้ว”
อวิ๋นจิ่นจ้งเห็นถึงความเป็นห่วงแบบที่ผู้อาวุโสคนหนึ่งเป็นห่วงเด็ก แม้แต่ท่านพ่อยังมิเคยแสดงความเป็นห่วงที่ดูอบอุ่นเช่นนี้กับตนมาก่อน ภายในใจพลันรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก “ขอบใจในความเป็นห่วงของใต้เท้ามากขอรับ” ชะงักไปครู่หนึ่ง อย่างไรเสียก็เป็นเป็นเด็กกึ่งโตแล้วคนหนึ่ง จึงเอ่ยด้วยความหวังดีเช่นกัน “แต่ดูสภาพร่างกายของใต้เท้าแล้วไม่สู้ดีนัก ท่านก็พึงดูแลตัวเองให้มากๆ นะขอรับ”
ชายคนนั้นได้ยินประโยคนี้ก็เผยความดีใจออกมาผ่านใบหน้าอันเหน็ดเหนื่อยด้วยการยิ้มให้ เจ้าเด็กคนนี้ รูปร่างหน้าตาดีไม่พอ การเรียนก็ดี แถมยังดูโตราวกับเป็นผู้ใหญ่
เขารวบรวมสติทั้งหมด แล้วก็พูดจุดประสงค์ที่เรียกเขามาในวันนี้ “อีกไม่กี่วัน จิ่นจ้งไม่ต้องไปที่กั๋วจื่อเจียนแล้วนะ”
อวิ๋นจิ่นจ้งตะลึงงัน “หา”
ชายคนนั้นเห็นท่าทีตกใจก็ยิ่งเกิดความเอ็นดู ถึงกระทั่งความเจ็บไข้ได้ป่วยหายไปเกือบครึ่งหนึ่ง “ต่อแต่นี้ไปเจ้าไปเรียนที่หอหนังสือเถอะ ในหอหนังสือมีทรัพยากรมากกว่ากั๋วจื่อเจียน ซึ่งจะช่วยเรื่องสอบของเจ้าได้มากทีเดียว ส่วนที่บ้านของเข้า ข้าจะส่งไปคนแจ้งให้”
หอหนังสือ นั่น——อยู่ในวังหลวงนี่ เป็นที่ๆ พระโอรสเรียนหนังสือกัน ทรัพยากรไม่ได้แค่ดีกว่ากั๋วจื่อนเจียน แค่อาจารย์ที่สอนหนังสือให้กับเหล่าพระโอรส ก็ล้วนแต่เป็นขุนนางชั้นในเก่งๆ ระดับหย่างไท่ฟู่
สมองของอวิ๋นจิ่นจ้งเหมือนมีบางอย่างแล่นผ่าน คล้ายว่าเริ่มเข้าใจแล้วว่าชายตรงหน้าคือใคร แต่ก็ยังไม่กล้าเชื่อ จึงเอ่ยถามด้วยความไม่มั่นใจ “ใต้เท้าล้อข้าเล่นหรือไม่ขอรับ ข้ามีสิทธิเข้าหอหนังสือด้วยหรือ”
ใบหน้าของชายผู้นั้นมีความเศร้าสลดแล่นผ่านโดยมิสามารถจับสังเกตได้ แต่แล้วเขากลับยิ้ม “หากใช้สถานะเพื่อนเรียนเข้าไป ก็มิเป็นอะไร”
“คนที่มีสิทธิได้สถานะเพื่อนเรียนขององค์ชาย ก็ล้วนมีแต่สถานะอ๋องหรือซื่อจื่อ จิ่นจิ้งมีดีอะไรถึงมีสิทธิมากขนาดนี้”
“ถ้าข้าบอกว่ามี ก็คือมีนั่นล่ะ” ชายผู้นั้นกำมือและไอค่อกแค่กอีกหลายที เมื่อนิ่งลงก็เอ่ยขึ้น “เจ้ามีเป็นคนเก่ง ในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย ก็หามีองค์ชายท่านไหนสู้เจ้าได้ ที่สำคัญพ่อเจ้าได้ขึ้นตำแหน่งเป็นถึงเจ้ากรมแล้ว ไม่ว่าจะด้วยความสามารถหรือสถานะทางบ้านของพ่อเจ้า เจ้าก็มิได้ด้อยไปกว่าใคร ถ้าได้เข้าไปแล้ว เวลามีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใด ก็ไม่ต้องไม่มั่นใจ และยิ่งไม่ต้องคิดว่าตัวเองอยู่ต่ำกว่าใคร เข้าใจหรือไม่”
อวิ๋นจิ่นจ้งเห็นเขาพยายามให้กำลังใจตน เม้มปากหนึ่งที ถอนหายใจหนึ่งเฮือก พลันลุกขึ้นยืน จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้น “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อหนิงซีฮ่องเต้เห็นว่าชายคนนี้รู้สถานะของตนแล้ว ก็มิได้แปลกใจมากนัก ด้วยความฉลาดของเด็กคนนี้ ปิดอย่างไรก็คงปิดไม่มิด เมื่อนิ่งไปได้ครู่หนึ่งก็ยื่นมือไปพลางตรัสว่า “ลุกขึ้นเถิด แล้วนั่งลง”
ใช่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจริงด้วย อวิ๋นจิ่นจ้งลุกขึ้นแล้วนั่งที่เดิม รู้สึกมึนงงเล็กน้อย พอได้สติก็เอ่ยถามด้วยความห้ามใจไม่ไหว “นักเรียนเก่งๆ มีมากแทบนับไม่ถ้วน เหตุใดฝ่าบาทจึงดีกับจิ่นจ้งคนเดียวถึงเพียงนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
หนิงซีฮ่องเต้รู้ดีว่าหากใช้คำพูดสวยหรูตรัสออกมาก็คงปกปิดเด็กชายคนนี้ไม่อยู่ พลางถอนหายใจแล้วตรัสตอบ “ข้ากับท่านแม่ของเจ้ามีที่ไปที่มาเมื่อสมัยหนุ่มสาว แม้ในภายหลังข้ากับนางจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดอีก แต่ข้าก็ยังอยากจะช่วยดูแลบุตรของเพื่อนของข้า เรื่องนี้ ท่านพี่ของเจ้าก็รู้”
ฝ่าบาทกับท่านแม่เคยเป็นเพื่อนกัน อวิ๋นจิ่นจ้งตกใจตะลึงงัน การที่เขาสามารถได้เข้าหอหนังสือพร้อมกับเหล่าองค์ชายนั้น ความสัมพันธ์ที่ว่านี้ คงไม่ใช่แค่ผิวเผิน หากแต่มีความลึกซึ้งมากเลยก็ว่าได้
ในเมื่อมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดถึงไม่ถูกพูดถึงกันเลยล่ะ แล้วเหตุใดถึงมาช่วยตนในเวลานี้
ความสงสัยต่างๆ เริ่มพรั่งพรูออกมาเต็มไปหมด อวิ๋นจิ่นจ้งหวาดกลัว มิกล้าเอ่ยถาม และไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ตรงๆ
หนิงซีฮ่องฝากฝังทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็ตรัสขึ้น “เหยาฝูโซ่ว ส่งคุณชายอวิ๋นกลับกั๋วจื่อเจียน”
อวิ๋นจิ่นจ้งเห็นกงกงหน้าขาวที่เพิ่งรับตนมาเมื่อครู่นี้เปิดม่านเดินเข้ามา เตรียมส่งตนกลับไป แต่แล้วพระสุรเสียงของฝ่าบาทก็ดังขึ้น “ช้าก่อน”
ทั้งสองคนหันกลับไป
สายตาของหนิงซีฮ่องเต้หยุดอยู่ที่ใบหน้าขาวใสของเด็กชาย “จิ่นจ้ง เจ้ามาหาข้าหน่อย”
อวิ๋นจิ่นจ้งเดินเข้าตามคำสั่ง แล้วฮ่องเต้ก็ยกมือขึ้นจับที่ใบหน้าของตน นัยน์ตานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกๆ ก็ตรัสด้วยน้ำเสียงที่พอพระทัยเป็นอย่างมาก “ดี ดีมาก”
อวิ๋นจิ่นจ้งไม่เข้าใจ
หนิงซีฮ่องเต้วางพระหัตถ์ลง “ไปเถิด”