ทุกคนแหงนหน้ามองท้องฟ้า เป็นเช่นนั้นจริงด้วย ฟ้าเปลี่ยนกระทะหันมาก ขามาท้องฟ้าปลอดโปร่งเป็นสีคราม ตอนนี้กลับมืดสลัวคล้ายว่าฝนกำลังจะเทลงมา
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ แค่รีบเดินเสียหน่อย ก็น่าจะกลับถึงก่อนฝนตก” หานเซียงเซียงนึกคิด หากต้องอยู่กับชายคนนี้ในศาลาเพื่อรอให้ฝนหยุดก่อน ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอนานแค่ไหน นางรู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่
หลี่ว์ชีเอ๋อร์กลับอยากอยู่กับเยี่ยนอ๋องให้นานกว่านี้ จึงหันไปเกลี้ยกล่อม “คุณหนูหาน ฝนของฤดูนี้มาไวและไปไว ถ้าจะรอให้ฝนหยุดข้าว่าคงไม่น่านานนัก…หากเจอฝนระหว่างทางกลับ เราไม่มีแม้กระทั่งร่ม พวกข้าเป็นคนผิวหยาบโดนตากฝนเสียหน่อยก็คงมิเป็นไร แต่ท่านนั้นแตกต่างและใกล้จะออกเรือนแล้ว หากเกิดไม่สบายขึ้นมาจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
หานเซียงเซียงเริ่มลังเลเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางเคยคิดคะนึงหาจนไม่สบายมาแล้วครั้งหนึ่ง นี่ก็เพิ่งหายไข้ได้ไม่นาน อากาศของวันนี้ก็ยังเย็นๆ หากป่วยเพราะตากฝนจนกระทบกับงานแต่งงาน ก็อาจกลายเป็นเรื่องได้ เดิมทีงานแต่งครั้งนี้ก็มีอุปสรรคมากมายอยู่แล้ว นางไม่อยากเพิ่มอุปสรรคเข้าไปอีก
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หานเซียงเซียงจึงดึงมือของเสี่ยวถงแล้วนั่งลงที่มุมหนึ่งของศาลา
เยี่ยนอ๋องเห็นนางไปนั่งอยู่ไกลๆ ก็มิได้เก็บใส่ใจ เพียงเรียกให้เฉียวเวยช่วยปัดเป่าฝุ่นทำความสะอาดแล้วตนก็นั่งลงด้วย
ทั้งคู่นั่งลงไม่นาน เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่ามาพร้อมกับสายฟ้าแลบเปรี้ยงๆ จากนั้นน้ำฝนก็เทลงมา
เพียงครู่เดียว ฝนก็ตกกระหน่ำ เดิมทีเนินเขาเจ็ดลี้ก็เป็นพื้นที่ว่างเปล่าและกว้างขวาง เวลาผ่านไปไม่นาน ฝนตกจนท้องฟ้าเปลี่ยนสี ฟ้าผ่าเสียงดังฮึ่มสนั่นทั่วฟ้า
หานเซียงเซียงคิดแต่จะนั่งให้ห่างจากเยี่ยนอ๋อง แต่ดันนั่งอยู่ตรงฝั่งลมเข้าของศาลาพอดี และคิดไม่ถึงว่าฝนจะตกหนักถึงเพียงนี้ จนชายกระโปร่งเริ่มเปียก แต่ก็รู้สึกเขอะเขินไม่กล้าขยับเข้าไปด้านใน เพียงครู่เดียว ปลายจมูกกับโหนกแก้มก็เริ่มแดงเพราะโดนลมพัดใส่ แล้วนางก็เห็นมือของใครบางคนยื่นผ้าเช็ดหน้าที่เพิ่งคืนไปมาให้พลางเอ่ย “ผมและเสื้อผ้าเจ้าเปียกหมดแล้ว เอาไปเช็ดสิ”
หานเซียงเซียงเงยหน้าขึ้นมอง แล้วปฏิเสธ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้ามีผ้า” ผ้านั้นคืนไปแล้ว หากรับมาอีก คงไม่จบไม่สิ้นเสียที
เยี่ยนอ๋องเห็นนางหยิบผ้าตัวเองออกมาเช็ดน้ำ ก็ดึงกลับมา “งั้นเจ้าเข้ามานั่งด้านในอีกนิดเถิด เจ้านั่งตรงช่องลมพอดีน่ะ คิดจะอาบน้ำเลยหรืออย่างไร”
คำพูดคำจาของคนๆ นี้ ช่างไร้มารยาทเสียจริง หานเซียงเซียงเริ่มหน้าแดงพลันลุกขึ้นพรวดและบอกกล่าวไปอย่างกล้าหาญ “ชายหญิงไม่ควรอยู่ใกล้กัน ท่านอ๋องอยู่ด้านใน เซียงเซียงไม่กล้าเข้าไปหรอกเจ้าค่ะ การที่ข้าได้รู้จักกับท่านอ๋อง นับว่าเป็นบารมีของเซียงเซียง แต่ข้าจะได้แต่งงานกับฉินอ๋องแล้ว ความสัมพันธ์นี้พึงหลีกเลี่ยง วันนี้เซียงเซียงคืนผ้าเสร็จแล้ว ก็คงไม่ต้องพบหน้าท่านอ๋องอีก หากได้พบ ก็โปรดทำเป็นไม่รู้จัก…อย่าทำให้เซียงเซียงลำบากใจอีกเลยนะเจ้าคะ!”
เยี่ยนอ๋องสีหน้าพลันเปลี่ยน ไม่เอ่ยคำใด
หลี่ว์ชีเอ๋อร์เห็นหานเซียงเซียงตัดขาดความสัมพันธ์กับเยี่ยนอ๋องอย่างเด็ดขาด และยังทำให้เยี่ยนอ๋องโกรธ ก็กระตุกชายแขนเสื้อพลางกระซิบข้างหู “เยี่ยนอ๋องเป็นองค์ชายนะเจ้าคะ แล้วยังสนิทชิดเชื้อดุจพี่น้องกับฉินอ๋องอีก หากเพียงพูดต่อหน้าฉินอ๋องอะไรสักอย่าง คุณหนูจะรับมือไหวหรือ อย่าได้ล่วงเกินมากไปเจ้าค่ะ”
หานเซียงเซียงทั้งร้อนรนทั้งทำอะไรไม่ถูก ล่วงเกินไม่ได้ ใกล้ชิดมากไปก็ไม่ได้ แล้วจะให้รับมือกับเผือกร้อนนี่อย่างไร ยิ่งได้ฟังความร้ายแรงจากหลี่ว์ชีเอ๋อร์ ก็ยิ่งทำตัวไม่ถูกจนตาเริ่มแดงก่ำ
“หรือไม่ ข้าแลกที่กับเจ้า” เยี่ยนอ๋องส่งสายตาให้เสี่ยวถงพยุงนางเข้ามา ส่วนตนเดินอ้อมไปนั่งลงตรงที่หานเซียงเซียงนั่ง
หานเซียงเซียงอึ้งตะลึง จากนั้นถูกเสี่ยวถงกับหลี่ว์ชีเอ๋อร์สะกิดสองที ถึงยอมเข้าไปนั่งด้านใน แล้วเสี่ยงถงก็กระซิบเสียงเบาข้างหู “คุณหนู เยี่ยนอ๋องช่างมีความเป็นสุภาพบุรุษเยี่ยงนัก บ่าวบอกแล้วว่าเยี่ยนอ๋องไม่ได้ด้อยไปกว่าฉินอ๋องเลย”
นางหันไปมอง พบเยี่ยนอ๋องนั่งอยู่ใต้ทางเดินของศาลา ผู้ติดตามของเขา ได้ถอดชุดคลุมออกและนำมาบังน้ำฝนที่หยดใส่เจ้านาย แม้มีการบังน้ำฝนแล้วก็ตาม แต่ด้วยความที่ฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้ผมเพ้าของเขาถูกลมพัดจนเสียรูปทรง และขอบชายชุดคลุมก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนอีก
โชคดีที่ฝนตกไม่นาน เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว ก้อนเมฆและหยดน้ำฝนก็หายวับ ท้องฟ้ากลับมาปลอดโปร่งเป็นสีฟ้าสดใส สายรุ้งพาดโค้งดุจดั่งสะพานยาว ช่างดูงดงามและสงบอย่างที่สุด
หลี่ว์ชีเอ๋อร์กลับอยากให้ฝนนั้นตกนานกว่านี้ แต่ในเมื่อหยุดตกแล้ว ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงลุงขึ้นตามหานเซียงเซียง
เมื่อหานเซียงเซียงเตรียมจะลากลับ ก็อดใจไม่ไหวจึงได้หันหลังกลับไป เห็นเยี่ยนอ๋องเพิ่งบิดน้ำที่ชายขอบชุดคลุมออก ส่วนผ้าเช็ดหน้าที่ใช้เช็ดใบหน้ากับลำคอเสร็จ ก็เปียกชุ่มจนน่าจะใช้ต่อไม่ได้อีก ส่วนเสื้อผ้าก็เปียกชุ่มจนแนบไปกับตัวเช่นกัน คิดไปมา สุดท้ายนางก็ตัดสินใจหยิบผ้าของตนให้กับหลี่ว์ชีเอ๋อร์และเอ่ยว่า “นำผ้าผืนนี้ไปให้ท่านอ๋อง”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์รับผ้ามาและยื่นให้กับเยี่ยนอ๋อง “ท่านอ๋องใช้ผ้านี้เช็ดนะเจ้าคะ”
เยี่ยนอ๋องรับผ้าเอาไว้ และส่งยิ้มให้กับหานเซียงเซียงพลางเอ่ยชม “ที่แท้คุณหนูหานก็มิได้เป็นคนใจแข็งนี่”
หานเซียงเซียงก้มหน้าลง “หากท่านอ๋องไม่สบายขึ้นมา ข้ารับผิดชอบไม่ไหว ส่วนผ้านั้น…ท่านมิต้องคืนข้าก็ได้ มันคงไม่มีราคาเท่าผ้าของท่านอ๋อง หากใช้เสร็จ ท่านสามารถฉีกหรือตัด หรือทิ้งไปเลยก็ได้เจ้าค่ะ” พูดเสร็จ ก็หันหลังย่ำเท้าเดินกลับเลย
ในตอนนั้น ก็มีเสียงเยี่ยนอ๋องดังขึ้นมาจากด้านหลัง “อีกไม่ถึงครึ่งเดือน ก็เป็นวันออกเรือนของคุณหนูหานแล้วใช่หรือไม่”
หานเซียงเซียงหยุดเดิน หันข้างแล้วเอ่ยตอบ “ใช่เจ้าค่ะ”
“จนถึงวันนี้ คุณหนูก็ยังยืนยันจะแต่งเข้าจวนฉินอ๋องอยู่อีกหรือ คำพูดที่ข้าเคยบอกคุณหนู คุณหนูไม่คิดไตร่ตรองสักนิดเลยหรือ”
หานเซียงเซียงขมวดคิ้วย่น “วันนั้นข้าให้คำตอบแก่ท่านแล้ว”
ผู้หญิงคนหนึ่ง สามารถนำความดื้อดึงและความใสซื่อมาผสมผสานเข้าด้วยกันได้อย่างไรกันนะ เดิมทีเยี่ยนอ๋องเพียงรู้สึกแค่ว่า นางเป็นคุณหนูที่ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง มิได้แตกต่างไปจากเหล่าคุณหนูในเมืองหลวงท่านอื่นที่หลงรักท่านพี่และมองเห็นอนาคตที่ดีขึ้นทุกวันของจวนฉินอ๋อง
แต่นางกลับเป็นหญิงที่ประพฤติตามประเพณีอย่างเคร่งครัด หากหลงหัวปักหัวปำจริงๆ ไม่ว่าจะได้รับคำเกลี้ยกล่อม หรือ สามารถมองดูสองสามีคู่นั้นพลอดรักกันได้ แล้วยังคิดจะลองดูสักตั้ง——ก็นับว่าเป็นหญิงที่หายากเช่นกัน
เมื่อได้คิดได้เช่นนั้น ใจของเขาก็พลันรู้สึกเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก จึงเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “อื้ม ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ขออวยพรให้คุณหนูสมปรารถนา และไม่รู้สึกคิดผิด”
หานเซียงเซียงย่อตัวพลางเอ่ย “ขอบพระทัยท่านอ๋อง” กล่าวเสร็จก็ออกจากศาลาพร้อมกับบ่าวรับใช้สองคนทันที
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ไม่อยากจากไปเช่นนี้ เดินไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็อดที่จะหันหลังกลับไปมองไม่ได้ พบว่าท่านอ๋องยืนอยู่ใต้ศาลา กำลังกำผ้าเช็ดหน้าของหานเซียงเซียงเอาไว้ ส่วนที่มุมปาก เหมือนจะเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
นางเบะปากอย่างอดไม่ได้ หานเซียงเซียงคนนี้ ดูๆ แล้วก็เป็นแค่คุณหนูทั่วๆ ไป เหตุใดเยี่ยนอ๋องถึงได้จมปลักกับแต่นาง ทั้งๆ ที่รู้ว่านางกำลังจะกลายเป็นภรรยาของคนอื่นแล้ว แต่ก็ยังเกาะแกะราวกับผึ้งที่ถูกน้ำผึ้งติดอยู่ปล่อยไม่ได้เสียที
หรือนี่เป็นเพราะเกิดในชาติตระกูลขุนน้ำขุนาง หานเซียงเซียงจึงมีข้อได้เปรียบแต่กำเนิด ฉะนั้น จึงสามารถเป็นที่สนใจของอื่นได้อย่างนั้นหรือ
หากตัดชาติตระกูลออก ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา นิสัย นางสู้หานเซียงเซียงไม่ได้ตรงไหน หากว่าด้วยสมองและฝีมือแล้ว หานเซียงเซียงยิ่งสู้ตนไม่ได้กว่าอีก
แต่ หากหานเซียงเซียงได้แต่งเข้าจวน นางสามารถพึ่งพานางคนนี้ ให้ตนได้อยู่ในจวนฉินอ๋องต่ออย่างสงบ และยังสามารถหยิบยืนความสัมพันธ์นี้ให้ได้ใกล้ชิดกับเยี่ยนอ๋องอีกด้วย
หากมองเช่นนี้ หานเซียงเซียงก็กลายเป็นผู้มีพระคุณในชีวิตของนางจริงๆ จะปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด