ตอนที่ 89 ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพของจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ
ด้วยการจากไปของพระสันตะปาปา เหล่าผู้นำของมหาวิหารแห่งนครศักดิ์สิทธิ์จึงตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน
เมื่อมีพระสันตะปาปาเสียชีวิตลง ว่ากันว่านครศักดิ์สิทธิ์จะต้องทำการจัดพิธีศพขึ้นทั่วทุกพื้นที่และทำการไว้ทุกข์เป็นเวลาครึ่งปี
เมื่อรู้ว่าร่างของปิอุสที่อยู่ภายในฟันเฟืองไม่สามารถเข้าไปเก็บกู้ได้ เหล่าคาร์ดินัลจึงได้หาศพตัวแทนของปิอุสได้แทนแล้วในงานพิธี
ซึ่งอันที่จริงเหล่าคาร์ดินัลก็บอกแต่แรกแล้วว่า การหาศพตัวแทนของสันตะปาปานั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะพวกเขาต่างก็ต้องแบกรับตราหลอมละลายแล้วพอพวกเขาตายไปยังไงศพก็ไม่เหลือให้นำไปประกอบพิธีกรรมอยู่แล้ว
ฟาร์มาที่กลับมาจากชั้นใต้ดิน ก็ได้พาจักรพรรดินีไปยังคฤหาสน์ของพระสันตะปาปา และปล่อยให้เธอได้พักผ่อนในห้องรับรอง ก่อนจะพูดกับเหล่าคาร์ดินัลถึงข้อมูลฟันเฟืองที่ตนมีโดยไม่ปิดบัง ยกเว้นก็แต่เรื่องเสียงที่เขาได้ยินตอนเข้าใกล้ฟันเฟือง และอธิบายถึงเหตุผลที่เขาไม่สามารถช่วยปิอุสได้ทัน
บทสรุปที่ได้จึงเป็นจักรพรรดินีนั้นรอดชีวิตมาได้ส่วนปิอุสนั้นเสียชีวิต
ถึงจะไม่มีอะไรเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะช่วยหรือเปล่า การพูดคุยก็จบลงตรงนั้นโดยที่ยังไม่สามารถคลายข้อสงสัยของแต่ละคนได้
“ผมไม่สามารถเข้าไปช่วยพระสันตะปาปาปิอุสได้จริงๆ ครับ”
พอฟาร์มาพูดแบบนั้น คาร์ดินัลคนหนึ่งก็พูดกับฟาร์มาด้วยความเห็นใจ
“ช่วยไม่ได้หรอกครับ ทางพวกเราเองก็ไม่คาดคิดว่าประตูแห่งฟันเฟืองนั้นจะถูกเปิดออก”
ก่อนที่คาร์ดินัลอีกคนซึ่งก็อยู่ในเหตุการณ์พูดต่อ
“หากไม่รีบหาทางจัดการกับมัน นครศักดิ์สิทธิ์คงได้ล่มสลายและหายไปเป็นแน่”
การจากไปของปิอุสที่กะทันหันเช่นนี้ ย่อมสร้างความวุ่นวายให้กับผู้คนได้เป็นจำนวนมาก
“นอกจากเรื่องพิธีศพเรา เรายังต้องค้นหาผู้ที่แบกรับตราหลอมละลายคนต่อไปได้ เพื่อทำการแต่งตั้งเขาเป็นสันตะปาปา เหมือนกับที่ท่านปิอุสได้บอกพวกเราไว้”
“หมายความว่า…จะทำทุกอย่างตามเดิมเหรอครับ?”
“นั่นก็เพราะเราไม่สามารถทำอะไรกับมันได้แล้วนี่ครับ ไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับฟันเฟืองนั่นเลย กระทั่งเทพผู้พิทักษ์ก็ยัง――”
ฟาร์มาเข้าใจได้ทันทีว่า ห่วงโซ่แห่งฝันร้ายของการสืบทอดตราเครื่องสังเวยนี้จะยังคงอยู่ต่อไป
ถึงภายนอก พระสันตะปาปาจะต้องผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ที่เรียกกันว่า การเลือกตั้งพระสันตะปาปาภายใน และจนกว่าการเลือกตั้งดังกล่าวจะสิ้นสุดลง ตำแหน่งพระสันตะปาปาก็จะยังว่างอยู่
“ข้าก็ไม่คิดหรอกนะว่าผู้ที่มีตราหลอมละลายจะเป็นคนไกล ไว้เราลองปิดพรมแดนของนครศักดิ์สิทธิ์แล้วตามหาจนกว่าจะพบก็น่าจะดี”
โดยปกติแล้ว ตราหลอมละลายจะปรากฏอยู่กับผู้คนภายในนครศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ว่ากันว่าส่วนมากจะเป็นเหล่าคาร์ดินัล ในวันนั้นเองเหล่าคาร์ดินัลทุกคนก็ได้ถูกเรียกให้เข้ามาประชุม ก่อนจะทำการตรวจสอบตราหลอมละลายบนแผ่นหลังของทุกคนว่ามีหรือไม่
แต่สุดท้ายก็ต้องคว้าน้ำเหลว นั่นจึงทำให้ความวุ่นวายเพิ่มมากขึ้นไปอีก
“นี่เป็นเรื่องผิดปกติแล้ว หากตราไม่มีในหมู่คาร์ดินัล…ในกรณีแบบนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นกัน?”
“หรือตราหลอมละลายจะไม่มีการสืบทอดอีกต่อไปแล้วหรือ?”
“ไม่หรอก มันไม่ควรเป็นแบบนั้นมันต้องปรากฏอยู่บนร่างใครที่ไหนสักแห่งแน่ๆ”
เนื่องจากฟาร์มาเห็นพวกเขาคุยกับแบบนั้น เขาจึงได้เหลือบมองไปยังแผ่นหลังของจักรพรรดิ นีและยืนยันสถานการณ์ปัจจุบันของเธอด้วยดวงตาวินิจฉัย
(แน่อยู่แล้วเรื่องที่จะหาไม่เจอ เพราะมันอยู่กับจักรพรรดินี…แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรตอนนี้ ที่เรารอดตัวมาได้ก็เพราะพวกคาร์ดินัลเชื่อว่าตราจะปรากฏเฉพาะในหมู่พวกตนเท่านั้นด้วย)
หลังจากฟาร์มาเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นได้สักพัก เขาก็กล่าวว่า “ฝ่าบาทกำลังพักผ่อนอยู่ ผมเลยว่าจะไปดูอาการของพระองค์ที่ห้องสักหน่อย” ก่อนจะแยกตัวออกมาแล้วเดินทางไปที่ห้องรับรอง
ไม่นานนักซาโลม่อนและจูเลียน่าก็ตามเข้ามาภายในห้องก่อนจะล็อกห้องแล้วพูดคุยกับฟาร์มา
“ฝ่าบาทในตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ที่จะลดการป้องกันลงไม่ได้เลย พวกคาร์ดินัลกำลังคลั่งและพยายามตามหาผู้ที่มีตราหลอมละลายกันให้ควัก”
“ผมก็คิดแบบนั้นครับ คุณซาโลม่อน คุณจูเลียน่า ขอถามเพื่อความแน่ใจสุริยุปราคาครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ครับ”
“ค่ะ จากที่ฉันตรวจสอบ…ก็ปรากฏว่า”
ทั้งสองมองหน้ากันก่อนเธอจะบอกกับฟาร์มา
“เป็นช่วงเดือนสิงหาคมปีหน้าค่ะ ตอนนี้เป็นเดือนธันวา ดังนั้นเราจะเหลือเวลาแค่เก้าเดือนค่ะ”
“แย่แล้วสิ….ผมว่าเราน่าจะให้พระองค์อยู่ห่างจากฟันเฟืองนี้หน่อยคงจะดีนะครับ?”
“ใช่แล้วครับ เพราะอันตรายแน่หากจักรพรรดินียังอยู่ที่นครศักดิ์สิทธิ์ในเวลานั้น ผมว่าเราควรจะรีบกลับไปยังจักรวรรดิโดยไม่ต้องแจ้งให้พวกคาร์ดินัลทราบก็น่าจะดีนะครับ”
(บางกรณีมันอาจจะไม่ใช่เดือนสิงหาปีหน้าก็ได้)
พอฟาร์มาตระหนักได้แล้วว่าตนไม่สามารถอยู่เฉยๆ ต่อไปได้ เขาก็เรียกคลาร่าให้เข้ามาที่ห้องรับรองจากนั้นไม่นานนัก ทันทีที่เธอเห็นฟาร์มาเธอก็รู้สึกโล่งใจก่อนจะร้องไห้ออกมา
“ท่านแพทย์โอสถ!!! สบายดีใช่ไหมคะ! ได้ยินมาว่าท่านสันตะปาปาเสียชีวิตไปแล้ว ขอโทษจริงๆ นะคะที่ช่วยอะไรท่านไม่ได้เลย”
คลาร่าก้มหน้าด้วยความผิดหวัง
เขาเดาว่าเธอคงจะเสียใจที่ไม่สามารถหยุดยั้งเหตุการณ์พวกนี้ได้ ว่ากันว่าความสามารถในการในการเห็นนิมิตของผู้ตายนั้นจะต้องเป็นผู้ที่เสียชีวิตจากการเดินทางเท่านั้น แต่ปิอุสไม่ได้อยู่ในประเภทนั้นเพราะเขาไม่ได้ออกไปจากนครศักดิ์สิทธิ์
ฟาร์มาพยายามเน้นย้ำในส่วนนี้
เขาไม่สามารถให้ใครรู้ได้ว่าจักรพรรดินีมีตราหลอมละลายอยู่ หากเธอหลุดเรื่องที่เธอมีตรานี่ออกไป เธออาจจะต้องถูกบังคับตรวจสอบจากทางนครศักดิ์สิทธิ์ เพราะสถานที่แห่งนี้มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
“แน่นอนสิ ในฐานะผู้นำของอีกประเทศหนึ่ง เราไม่มีทางบอกให้ประเทศอื่นรู้หรอกว่าเรากำลังมีปัญหาอะไร”
“เป็นดังที่พระองค์กล่าว”
(แค่เธอเข้าใจก็ช่วยเราได้เยอะแล้ว)
จักรพรรดินีแสดงความเสียใจกับการจากไปของปิอุสด้วยการนั่งภาวนาที่โต๊ะอาหารค่ำ ก่อนจะบอกทางนครศักดิ์สิทธิ์ว่าพวกเธอจะกลับไปยังจักรวรรดิแล้ว
ถึงจะมีเรื่องของพิธีศพปิอุส แต่เมื่อเธอแสดงความต้องการที่จะกลับไปทำงานราชการของเธอ ทางนครศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ว่าอะไร
“หากถึงช่วงเวลาไว้ทุกข์ เดี๋ยวเราค่อยมาว่ากันใหม่ แต่ตอนนี้เราจำเป็นต้องกลับไปยังประเทศของตัวเองแล้ว พอจะเข้าใจใช่ไหม”
“ฮ่ะ… ขอให้ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ ทางเราจะส่งครูเซเดอร์ไปทำหน้าที่คุ้มกันด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เราปกป้องตัวเองได้”
จักรพรรดินีปฏิเสธอย่างเฉยเมย แต่คาร์ดินัลก็ไม่ได้ลดความพยายาม
“ขออภัยสำหรับความหยาบคาย แต่ยังไงกระหม่อมก็ต้องให้ทางหัวหน้านักบวชคอมพ์ กลับไปที่จักรวรรดิอยู่ดี เนื่องจากว่าเราจะมีการส่งมอบสมบัติลับชิ้นใหม่ไปที่เมืองหลวงจักรวรรดิ เพราะของเดิมถูกขโมยไปนั่นจะทำให้การป้องกันพวกวิญญาณร้ายอ่อนแอลง แถมทางนั้นก็เหมือนคนจะไม่พอด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“มีคนขโมยไป คนทางนั้นไม่พองั้นหรือ? เอาเถอะ ว่าแต่เราอยากจะรู้แล้วสิว่าใครจะได้เป็นพระสันตะปาปาคนใหม่ก่อนจะกลับไป”
“เรื่องนั้นทางเรายังหาผู้สมัครไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ไว้กระหม่อมจะรายงานให้ทราบในภายหลัง”
ฟาร์มาที่ฟังบทสนทนาขณะรับประทานอาหารก็รู้สึกโล่งใจในที่พวกเขาไม่รู้ว่าจักรพรรดินีเป็นผู้มีคุณสมบัติดังกล่าว และอาหารของฟาร์มาก็ไม่ได้มีสิ่งแปลกปลอมปะปนอีกต่อไป ฟาร์มารู้สึกว่าอาหารที่เขาทานอยู่นั้นอร่อยเลยทีเดียว
“งั้นหากปัญหาการสืบทอดตำแหน่งได้รับการแก้ไขแล้ว ก็รายงานให้เราทราบด้วย เดี๋ยวเราจะส่งทูตเข้ามาร่วมพิธีเอง”
จักรพรรดินีกล่าวเช่นนั้นแล้วลุกจากที่นั่ง หลังจากที่จักรพรรดินีจากไป ฟาร์มาก็ถามถึงแนวโน้มในอนาคตของนครศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง เขาบอกเหล่าคาร์ดินัลไปว่าถ้ามีอะไรให้เขาช่วยก็เรียกได้เลย
ก็เป็นไปตามที่คาร์ดินัลกล่าว หากพวกเขายังไม่สามารถหาผู้สืบทอดตำแหน่งพระสันตะปาปาได้ ทางนครศักดิ์สิทธิ์อาจจะต้องมีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ในขณะที่ตำแหน่งพระสันตะปาปายังว่างอยู่
“ในตอนนี้ จากมุมมองของฝ่ายบริหารแล้ว มันไม่สำคัญหรอกครับว่าตำแหน่งพระสันตะปาปาของนครศักดิ์สิทธิ์จะว่างอยู่หรือไม่ แต่เนื่องจากพิธีกรรมที่สำคัญบางอย่างนั้นจำเป็นต้องมีพระสันตะปาปาเป็นผู้ดำเนินการ และเพราะตำแหน่งนี้ยังว่างอยู่เราก็กลัวผลกระทบอันรุนแรงที่จะเกิดขึ้นนั่นแหละครับ”
“ผลกระทบที่รุนแรงเหรอครับ”
“เป็นพิธีกรรมการสร้างสลักมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ที่กระจายอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศครับ หากมันเกิดพังทลายขึ้น พวกวิญญาณร้ายก็ถูกผนึกเอาไว้อาจจะออกมาร่อนเร่พเนจรไปทั่วได้”
“พิธีกรรมนั้นผมสามารถทำแทนได้ไหมครับ?”
เป็นเพราะข้อเสนอของฟาร์มา เหล่าคาร์ดินัลจึงมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
“พิธีกรรมนั้นมีเพียงคนคนเดียวที่ทำได้ครับ คนคนนั้นจำเป็นต้องผ่านการฝึกมาเป็นระยะเวลานานแล้วด้วยถึงจะทำได้”
(ผู้ที่แบกรับตราหลอมละลายคงจะสามารถทำบางอย่าง เช่นการผนึก ขับไล่วิญญาณร้ายได้ แต่ก็ต้องแลกกับพลังชีวิตของพวกเขาสินะ……)
แม้ฟาร์มาจะตกใจกับเรื่องที่คาดไม่ถึงนี้ แต่เขาก็ต้องเตรียมตัวกลับบ้านพร้อมกับจักรพรรดินี
…━━…━━…━━…
ลอตเต้ซึ่งถูกวิญญาณร้ายกัดเข้าและหมดสติก็ถูกส่งกลับไปยังตระกูลเดอ เมดิซิส
ผิวของเธอเริ่มซีดลงเมื่อเวลาผ่านไป อุณหภูมิร่างกายของเธอก็เริ่มลดลง
แม้ว่าทางเอเลนกับปาลเล่จะใช้ศาสตร์แห่งเทพและยาต้านคำสาปดูแล แต่เธอก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยตั้งแต่ถูกกัด
เช้าวันต่อมา นักบวชจากเมืองหลวงซึ่งดูเหนื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งคืนได้เข้ามาและพยายามทำลายคำสาปด้วยมนตร์ชำระล้าง แต่ก็ไม่เป็นผล
หากพวกเขาใช้เวลาในการวิเคราะห์คำสาป พวกเขาอาจจะสามารถหาเบาะแสในการทำลายคำสาปนี้ลงได้ แต่ด้วยวิญญาณร้ายที่ปรากฏตัวทั่วเมืองหลวงจักรวรรดิและออกมาทำร้ายผู้คน จึงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะคอยดูแลลอตเต้คนเดียวเป็นพิเศษ
“ท่านนักบวช จะเกิดอะไรขึ้นกับชาร์ล็อตกันแน่คะ”
“เราหมดหนทางแล้วครับ”
“ไม่นะ…จะให้ฉันทำอะไรก็ได้ค่ะ แต่ได้โปรดช่วยเธอด้วย”
“เพราะเธอเป็นสามัญชน…จึงทำให้เธออ่อนแอต่อพวกวิญญาณร้าย..โปรดคิดเสียว่ามันเป็นเพราะโชคของนาง พวกเราเสียใจด้วย”
นักบวชได้เดินออกจากคฤหาสน์ไปทั้งอย่างนั้น ถึงแม้พวกเขาจะแสดงความเห็นใจก็ตาม แต่ตอนนี้มนตร์ของพวกเขาไม่ได้ผลก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะทำได้แล้ว
“ถ้าอย่างงั้น เด็กคนนี้…จะต้องดูเธอจากไปเหรอคะ?”
หลังจากนักบวชจากไป แคทเทอรีนแม่ของลอตเต้ก็คิดไปแล้วว่าลอตเต้ไม่น่าจะมีชีวิตรอด เธอจึงจับมือลอตเต้แล้วร้องไห้ออกมา บลานช์ที่รับไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของลอตเต้ ที่ทำดีกับเธอมากขนาดนั้นก็เข้าไปกอดเธอไว้แน่น
เอเลนเฝ้าดูอาการของลอตเต้ในขณะที่ตรวจสอบเอกสารเก่า ส่วนปาลเล่ที่พยายามใช้ศาสตร์แห่งเทพและยาวิเศษทั้งหมดเพื่อทำลายคำสาป ก็เดินไปรอบ ๆ ห้องราวกับว่าเขาไม่เข้าใจบางสิ่ง
“ปาลเล่คุง โทษทีนะ แต่นายทำให้ฉันเสียสมาธิ ไปนั่งนิ่งๆ หน่อยจะได้ไหม”
“เอเลโอนอร์ เธอไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ?”
ปาลเล่นั่งลงที่ขอบหน้าต่าง ก่อนจะเอนหลังแล้วไขว่ห้าง
เอเลนก็วางมือข้างหนึ่งไว้ที่เตียงราวกับคิดเช่นเดียวกัน
“ก็ใช่…ฉันไม่คิดหรอกว่านี่จะเป็นเพราะวิญญาณร้ายเพียงอย่างเดียว เพราะขนาดมนตร์ชำระล้างยังไม่ได้ผลเลย ถ้าฟาร์มาคุงอยู่ในเวลาแบบนี้….ไม่หยุดคิดเรื่องนี้ดีกว่าตอนนี้หมอนั่นก็ไม่อยู่ด้วย”
เมื่อพิจารณาจากกำหนดการเดินทางแล้ว ฟาร์มาจะกลับมาอย่างเร็วที่สุดก็อีกไม่กี่วันข้างหน้า แม้จะส่งนกพิราบไปยังนครอันศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องใช้เวลาหลายวันอยู่ดี ดังนั้นพวกเธอจึงต้องหาทางทำอะไรกันเอาเองไปก่อน
“ถ้าหนูไปถามท่านพ่อ ท่านพ่อก็น่าจะช่วยแก้คำสาปให้ลอตเต้ได้ใช่ไหมคะ”
บลานช์คร่ำครวญทั้งน้ำตา
“พี่ก็ไม่แน่ใจหรอกนะ เทคนิคของท่านพ่อน่ะอาจจะใช้ได้กับการรักษาโรค แต่หากเป็นคำสาปของวิญญาณร้ายยังไงก็ต้องให้ทางโบสถ์ที่มีมนตร์ในการชำระล้างมาแก้ไขอยู่ดี”
“ท่านพี่ งี่เง่า! ท่านพ่อน่ะไม่มีทางแพ้เจ้าพวกวิญญาณร้ายหรอก”
ในจังหวะนั้นเองปาลเล่ก็มองออกไปนอนหน้าต่าง ก่อนจะสั่นสะท้านกับสิ่งที่เห็นภายนอก
สวนหญ้าที่ได้รับการดูแลอย่างดีในสวนหลังบ้านของตระกูลเดอ เมดิซิส จู่ๆ ก็เริ่มเหี่ยวเฉาขึ้นมาจากจุดหนึ่ง ก่อนที่มันจะเริ่มลามออกไปราวกับกำลังถูกกลืนกินชีวิต
“เดี๋ยวก่อน… มีบางอย่างเกิดขึ้น”
หลังจากนั้นไม่นาน เงาที่ดูเหมือนจะเป็นวิญญาณร้ายก็ลอยขึ้นมาจากพื้นและเริ่มคลานไปรอบ ๆ ด้วยขาทั้งสี่เหมือนสัตว์ร้าย วิญญาณร้ายนั้นมีหลายประเภททั้งมนุษย์และสัตว์ และก็มีความน่าจะเป็นที่จะปรากฏตัวในสถานที่ต่างๆ ได้ไม่เหมือนกันอย่างสนามรบและสุสานโบราณก็จะมีสูงเป็นพิเศษหน่อย
อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่วิญญาณร้ายได้เกิดขึ้นในพื้นที่ของตระกูลเดอ เมดิซิส ซึ่งมีการสลักมนตร์เอาไว้รอบดินแทน
“เดี๋ยวนะ? … มันโผล่มาที่นี่ได้ด้วยเหรอ?”
ปาลเล่ซึ่งเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นความผิดปกติ ก็ดึงคทาและปลดปล่อยพลังแห่งเทพออกมา
ต่างจากฟาร์มา เขานั้นเป็นคนที่พกคทาไปด้วยตลอดเวลา
“มีอะไรผิดปกติเหรอ?”
“วิญญาณร้ายน่ะ”
“วิญญาณร้าย!? โผล่ที่เขตตระกูลเมดิซิสเนี่ยนะ!? ล้อกันเล่นหรือเปล่า!
“เอาน่า เดี๋ยวฉันไปจัดการเอง ของแบบนี้ถึงจะเคยเห็นที่โนวารูทมากก่อนก็เถอะ แต่มันก็นานมาแล้วนะ”
เขาเปิดหน้าต่างและกระโดดลงมาจากชั้นสี่อย่างไม่ลังเล ก่อนจะเหวี่ยงคทาก่อนที่เขาจะลงถึงพื้น
เสียงการทำงานของศาสตร์แห่งเทพดังขึ้น ร่างของเขาเริ่มลอยขึ้นในอากาศ
“”–ยกเลิกข้อกำจัดนี่คือการต่อสู้จริง ยักษาวารีระดับล่าง””
“นี่ ปาลเล่คุง!?
ขณะที่เอเลนชะโงกออกมาที่หน้าต่าง ก็พบว่าปาลเล่ได้ทำการระเบิดพลังแห่งเทพของตนออกมา แล้วสร้างยักษ์แห่งสายน้ำขึ้นมาจากศาสตร์แห่งเทพ ก่อนจะขี่บนหลังของมัน ว่ากันว่าศาสตร์แห่งเทพของทงโนวารูทนั้นได้ผ่านการวิจัยอย่างละเอียดเกี่ยวกับศาสตร์แห่งเทพที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก ซึ่งเรียกกันว่าศาสตร์แห่งเทพวิทยา ที่มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการสอนของทางจักรวรรดิ เนื่องจากทักษะพวกนี้จำเป็นต้องใช้พลังแห่งเทพในจำนวนมหาศาลและมีความรุนแรงมาก เพื่อปกป้องชีวิตของผู้ใช้จึงได้มีการ กำหนดข้อจำกัดการใช้งานไปด้วย นั่นเป็นวิธีการสอนของโนวารูต
ถึงปาลเล่จะเป็นสุดยอดผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพ แต่โดยปกติแล้วจะไม่มีทางเลยที่จะเห็นเขาใช้มนตร์ดังกล่าว
ยักษ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเธอนั้นตัวโตมากจนเธอเห็นแค่แขนของมันที่ยื่นออกมา
ด้วยความพิเศษของสายเลือดเมดิซิส จึงทำให้ขนาดของมันใหญ่เสียจนแม้แต่เอเลนก็ไม่เคยพบเห็น ขนาดของมันตอนนี้สูงกว่าคฤหาสน์ของตระกูลเดอ เมดิซิสไปแล้ว
“นี่นายควบคุมน้ำปริมาณขนาดนี้ได้ยังไงกัน…”
การเคลื่อนไหวที่สง่างามและการควบคุมที่แม่นยำของเขาเป็นผลมาจากการฝึกฝนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของตัวปาลเล่เอง
ดวงตาของปาลเล่แสดงถึงความอำมหิตที่ปกติจะไม่มีทางได้เห็นออกมา
“การลงโทษของเทพยักษา””
ปาลเล่ออกคำสั่งด้วยคทาของเขา ร่างของวิญญาณร้ายถูกบดขยี้ด้วยกำปั้นน้ำแข็งยักษ์ ก่อนจะถูกดูดเข้าไปในร่างของยักษ์ตนนั้นและสลายหายไป
ปาลเล่ไม่ได้สร้างยักษ์น้ำขึ้นมา แต่เป็นยักษ์น้ำแข็งต่างหาก จากนั้นเขาก็สำรวจพื้นที่รอบๆ ของตระกูลเพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นอีกไหม ก่อนที่เขาจะพบจุดสีดำที่ลานของบ้าน เขาจึงรีบตรงไปกำจัดวิญญาณร้ายที่ปรากฏตัวในทันที
“ไม่อยากจะเชื่อจะจบแค่นี้….เห็นทีต้องไปพักเอาแรกสักหน่อยแล้วสิ”
“ปาลเล่คุง――เดี๋ยว――นั่น――”
เอเลนตะโกนใส่เขาจากหน้าต่างชั้นสี่
แต่ปาลเล่ได้ยินไม่ชัด เขาจึงให้ยักษ์พาเขาไปที่หน้าต่างชั้นสี่
“อ้อว่าไง พอดีฉันได้ยินไม่ชัดน่ะ”
“ดูตรงนั่นสิ!”
เอเลนชะโงกออกมาครึ่งตัวก่อนจะชี้ไปยังใจกลางของเมืองหลวง
เกิดหมอกดำผิดธรรมชาติปกคลุมรัศมีหลายร้อยเมตรทั่วเมืองหลวง
“หมอกนั่น… ตรงนั้นมันมืดสนิทไปหมด นี่ไม่ปกติแล้ว… อ๊ะ ตรงนั้นก็มีหมอกกลุ่มใหม่เกิดขึ้นด้วย นี่มันอะไรกัน”
“ตรงนั้นมันมหาวิทยาลัยยานี่นาl”
“แย่แล้ว…! เดี๋ยวฉันรีบไปบอกให้ท่านอาจารย์รู้”
“สมบัติลับของโบสถ์ถูกขโมยไป การปกป้องจากเทพผู้พิทักษ์ภายในเมืองหลวงก็อ่อนแอลง พลังของพวกวิญญาณร้ายก็เพิ่มขึ้น…ถ้าเป็นแบบนี้ หากการปกป้องได้รับการฟื้นฟู คำสาปของชาร์ล็อตก็น่าจะดีขึ้นด้วย งั้นสิ่งที่เราทำได้ก็คือต้องกำจัดหมอสีดำพวกนี้ไปสินะ”
“แล้วนายจะกำจัดหมอกพวกนี้ได้ยังไงกันยะ! พวกเราต้องไปเอาผู้ใช้ศาสตร์แห่งวายุมาช่วยต่างหาก อย่างพวกเราทำอะไรมันไม่ได้หรอก”
ระหว่างที่ทั้งสองยังคงคุยกันอยู่ ดูเหมือนว่าหมอกสีดำจะเริ่มเข้ามาปกคลุมสวนของตระกูลเดอ เมดิซิสแล้ว
“ไม่หรอก ของแบบนี้ก็ต้องแก้ด้วยหมอกที่มีพลังแห่งเทพสิ”
“หา!?”
“”กำแพงสายหมอก! “”
ปาลเล่สร้างกำแพงหมอกขึ้นมาด้วยศาสตร์แห่งเทพ และสั่งให้มันโจมตีหมอกสีดำพวกนั้น หมอกที่ปาลเล่สร้างขึ้นมาได้ปะทะเข้ากับหมอกสีดำ แล้วความมืดมิดของมันก็สลายหายไปในพริบตา
“กลยุทธ์นี้ดูเหมือนจะได้ผลนะ งั้นก็ลุยไปทั้งแบบนี้เลย”
“ปาลเล่คุง ตอนนี้นายใช้พลังมากเกินไปแล้วนะ!
“อย่ามาห้ามกันหน่อยเลย เอเลโอนอร์ ดูสภาพชาร์ล็อตตอนนี้สิ งั้นฉันไปละนะ”
เอเลนเตือนปาลเล่แต่เขากลับเพิกเฉย
เอเลนเป็นกังวลเพราะได้ยินจากฟาร์มมาว่าปาลเล่มักจะเป็นลมเพราะใช้พลังมากเกินไปในคราวเดียว
(เราจะทำยังไงดี…ถึงปาลเล่คุงจะยังมองโลกในแง่ดีว่าวิญญาณร้ายคงถูกจัดการไปได้หมดแล้ว แต่มันก็สามารถผุดขึ้นมาอีกไม่หยุดแน่…ไม่มีที่ไหนในเมืองหลวงที่ไม่มีคนตายด้วย งั้นสมมติว่าการระบาดของพวกมันเกิดขึ้นมาจากการหายตัวไปของฟาร์มาคุงล่ะ ถ้าแบบนั้นพรของเทพผู้พิทักษ์ที่ปกป้องพวกเราก็จะหายไปด้วย)
เอเลนกลัวว่าเมืองหลวงของจักรวรรดิจะกลายเป็นเมืองแห่งวิญญาณร้าย ทันทีที่พลังแห่งเทพของเหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพหมดลง
ปาลเล่ที่ไม่รู้เจตนาของเอเลนก็ใช้ยักษ์ตนนั้นสร้างทางน้ำแข็งขึ้นมาเพื่อมุ่งไปยังมหาวิทยาลัยยา เขาได้ใช้มันพุ่งออกไป ราวกับต้องการรีบไปที่นั่นให้เร็วที่สุด
“โฮ๊ยยยย! นี่คือสถานการณ์ฉุกเฉิน! นี่คือสถานการณ์ฉุกเฉิน!”
“ดูท่ามีความสุขจังเลยนะ เจ้าหมอนั่น ทำคนอื่นวุ่นวายไปด้วยหมด…”
เอเลนเดาได้ว่าปาลเล่คงจะเคยสู้แต่ศัตรูในจินตนาการเท่านั้น เขาจึงอดดีใจไม่ได้ที่จะได้ต่อสู้แบบจริงจัง แต่ก็เพราะท่าทีของปาลเล่เลยทำให้เอเลนมีความกล้าขึ้นมาบ้างแล้ว
(เข้มแข็งหน่อยตัวเรา)
เอเลนตบแก้มตัวเองเพื่อกระตุ้นหัวใจที่อ่อนแอของเธอ
ครูเซเดอร์ของทางตระกูลเดอ เมดิซิสซึ่งเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพได้รีบเดินทางออกไปปกป้องบรูโนและลาดตระเวนรอบสวนสมุนไพรหมดแล้ว ส่วนอีกไม่กี่คนที่เหลือก็ทำหน้าที่ปกป้องครอบครัวในคฤหาสน์รวมไปถึงทรัพย์สินและของชิ้นอื่น แต่พวกเขาก็เป็นเพียงอัศวินธรรมดาเท่านั้น
ตอนนี้บรูโนก็อยู่ที่มหาวิทยาลัยยา ปาลเล่ก็ออกไปกำจัดหมอกสีดำ เอเลนจึงเป็นคนเดียวที่สามารถเผชิญหน้ากับพวกวิญญาณร้ายที่จะเข้ามาโจมตีสมาชิกครอบครัวเดอ เมดิซิสได้ดีที่สุดแล้ว
การขับไล่พวกวิญญาณร้าย ในขณะที่เฝ้าลอตเต้ไปด้วย นั่นคืองานที่เธอได้รับ
เอเลนจับคทาไว้แน่น ย่อเอวลง ลดจุดศูนย์ถ่วง และเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดว่าวิญญาณร้ายจะปรากฏตัวที่ใด
จากนั้น แรงดันลมที่มาพร้อมกับพลังแห่งเทพได้ก่อกำเนิดขึ้นจากด้านหลังของเธอ และผลักเธอให้กระเด็นออกไปเล็กน้อย
“อะ-!”
เมื่อมองไปที่ทิศทางของลม สายลมนั้นได้คว้านเอาพื้นดินออกไปและทำให้สวนกลายเป็นรู
หมอกสีดำที่กระเด็นมาอยู่เบื้องหน้าของเอเลนได้ปลิวหายไปพร้อมกับสายลม
“วิญญาณร้ายพยายามโจมตีเธออยู่นะ เดี๋ยวฉันระวังหลังให้เอง”
แล้วเธอก็พบกับร่างของ เบียทริช เดอ เมดิซิส ภรรยาของผู้นำตระกูลเดอเมดิซิสปรากฏตัวขึ้นภายในสวน
เบียทริชถอดชุดลำลองออก ก่อนจะห่อหุ้มร่างตัวเองด้วยชุดเกราะ และเหวี่ยงคทาอันสง่างามของเธอ
คทาอันแสนล้ำค่าซึ่งเป็นสมบัติของตระกูลดันเฮาเซอร์ ตระกูลของเบียทริช มันเป็นคทาที่เอเลนผู้คลั่งไคล้ในคทาไม่เคยเห็นมาก่อนเพราะมันเป็นสิ่งที่เบียทริชไม่ค่อยจะพกติดตัวไปไหนมาไหนด้วย
คทาของเธอถูกประดับด้วยนกสามหัวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูล ตอนนี้เธออยู่ในท่าพร้อมต่อสู้แล้ว
เอเลนที่ตกตะลึงกับการปรากฏตัวของเบียทริช ก็ได้สติแล้วเตือนเธอ
“คุณนายคะตรงนี้มันอันตรายนะคะ กรุณาเข้าไปข้างในคฤหาสน์เถอะค่ะ!”
เอเลนกังวลเกี่ยวกับเธอมากเพราะหากเกิดอะไรขึ้นกับเบียทริช บรูโนและฟาร์มาจะต้องเสียใจมากแน่ๆ
แต่เบียทริชส่ายหัวไปมาอย่างเด็ดเดี่ยว ข้ารับใช้ที่เป็นสามัญชนก็ออกมาตามเบียทริชด้วยเช่นกัน
“คุณผู้หญิงคะ!”
“อันตรายงั้นเหรอ หุหุหุ ล้อกันเล่นหรือไงจ๊ะ ผู้นำของตระกูลจะมาหลบอยู่ในที่ปลอดภัยได้ยังไงกัน ที่นี่คือคฤหาสน์ของฉันนะ ฉันไม่อนุญาตให้ใครผ่านเข้าไปได้หรอก”
เอเลนตกใจกับด้านที่คาดไม่ถึงของเบียทริช เพราะด้านนี้ของเธอได้ถูกซุกซ่อนไว้ภายใต้รูปลักษณ์อันสูงส่งของเธอตลอดมา
ความสามารถด้านการใช้ศาสตร์แห่งเทพของเบียทริชนั้น แทบไม่เป็นที่รู้จักมาก่อนเลย ถึงจะมีบางครั้งที่เธอคอยไปฝึกซ้อมให้กับบลานช์บ้างก็เถอะ…แต่ด้วยท่าทีที่ราวกับจะเยาะเย้ยความสงสัยของเอเลน เบียทริชก็ตั้งท่าถือคทาของเธอด้วยความสง่างาม
“วายุศักดิ์สิทธิ์”
ศาสตร์แห่งเทพของเบียทริชได้พัดพาเอาหมอกสีดำที่คืบคลานเข้ามาออกไป มนตร์ที่เธอใช้นั้นช่างสง่างามและได้รับการขัดเกลามาเป็นอย่างดี เอเลนรู้สึกทึ่งกับมันเพราะสายลมที่ออกมามีเส้นแสงสีรุ้งปะปนมาด้วย ซึ่งแตกต่างกับศาสตร์แห่งเทพทั่วไปที่เคยพบ
“วิเศษมากเลยค่ะ คุณนาย”
“หุหุหุ ต้องขอบคุณคทานี้เลย”
เอเลนยกย่องในความกล้าหาญของเบียทริช
“แต่แบบนี้มันคง ไม่ค่อยจะมีประสิทธิภาพมากนักที่จะรอให้วิญญาณร้ายปรากฏตัวและกำจัดพวกมันทีละตัว”
“คะ? ….แล้วท่านจะทำยังไงเหรอคะ”
“เธอเป็นเด็กฉลาดนะ ต้องใช้หัวคิดหน่อยสิ เธอรู้จัก “มหาเทพแห่งความคลุ้มคลั่ง” หรือเปล่าล่ะ”
เบียทริชหันไปยิ้มอย่างสง่างามให้กับเอลเลน
เพราะเธอเชื่อมั่นในความสามารถของเอเลน
เอเลนอ้าปากค้างราวกับประหลาดใจในคำพูดของเบียทริช มันคือการใช้คุณสมบัติธาตุวารีและวายุประสานเข้าด้วยกัน หากทั้งสองคนร่วมมือกัน ก็จะสามารถใช้การสั่นพ้องของศาสตร์แห่งเทพทั้งสองธาตุได้
และแม้ว่าเธอจะเหงื่อตกเมื่อได้ยิน แต่เธอก็ยิ้มออกมาอย่างเข้มแข็ง
“ค่ะ ท่านอาจารย์เคยสอนฉันมา”
“เหรอ งั้นก็ดี รีบไปกันเถอะ”
เอเลนและเบียทริชกำคทาของตนเองและเริ่มวิ่งไปในทิศตรงข้ามกัน
ขณะที่วิ่งไปตามทางของตระกูลเมดิซิสซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่ พวกเธอก็ให้วาดวงเวทพร้อมกับร่ายรำอยู่ในอากาศและร่ายบทสวดของมนตร์ออกมา ศาสตร์แห่งเทพนี้จะเป็นการปลดปล่อยพลังแห่งเทพออกมาทีละเล็กทีละน้อยและมีสูตรดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าพื้นที่ของวงเวทจะเขียนเสร็จ มันจำเป็นต้องใช้ความแข็งแกร่งทางกายภาพและพลังแห่งเทพจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ทั้งเอเลนและเบียทริชก็ไม่ได้แสดงอาการอ่อนล้าออกมา
ขณะที่เธอร่ายมนตร์และเต้นรำไปด้วย คทาของเธอก็เริ่มหนังอึ้ง ลมหายใจของเธอก็เริ่มแรงขึ้นทุกที
แต่พอเอเลนมองไปอีกฝั่งหนึ่งของสวนสมุนไพร เธอก็เห็นว่าเบียทริชกำลังพยายามอย่างหนัก ท่าทางของเธอช่างดูสูงส่ง
“ทำการวาดวงเวทเสร็จสิ้น อย่าทำพลาดล่ะ!”
“ค่ะ!”
เอเลนและเบียทริชกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากวนไปรอบๆ เพื่อสร้างวงเวทขึ้น
พวกเธอยื่นมือออกไปพร้อมกับคทาภายในมือเพื่อเป็นการเปิดใช้งานวงเวทดังกล่าว
“ในนามแห่งเทพวารีและเทพวายุ ข้าขอสั่งพวกเจ้าให้เกรงกลัวต่อสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้และอย่าได้เข้ามาย่างกราย”
“ข้าขอแสดงพลานุภาพแห่งทวยเทพอังสูงส่งที่จะคงอยู่สืบไปชั่วลูกชั่วหลาน”
แล้วพลังแห่งเทพของทั้งสองก็ประสานเข้าด้วยกัน
“มหาเทพแห่งความคลุ้มคลั่ง”!”
เมื่อคทาแห่งเทพของทั้งสองประสานกัน ก็ถือเป็นบทสรุปของการปลดปล่อยมนตร์ แล้ววงเวทสีฟ้าขาวก็ปรากฏขึ้นในอากาศ
วงเวทได้เริ่มแผ่ขยายไปรอบๆ พื้นที่ โดยมีพายุฝนเกิดขึ้นบริเวณใจกลางของวงเวท จากนั้นภายในเขตพื้นที่ของตระกูลเดอ เมดิซิสก็ได้รับการปกป้องโดยพายุที่กำลังคลุ้มคลั่ง
นี่คือวงเวทที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว มันสามารถชำระล้างพื้นที่โดยรอบได้ด้วยลมและฝน ซึ่งมีใจกลางของวงเวทเป็นที่หลบภัยสำหรับผู้ใช้
พายุแทบไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อมนุษย์เลย ตรงกันข้ามกับรูปลักษณ์ที่ดูแวววาวของมัน และมีผลกับวิญญาณชั่วร้ายด้วย ด้วยสิ่งนี้ แม้ว่าวิญญาณชั่วร้ายจะปรากฏตัวรอบๆ บ้าน พวกมันก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้
พอเอเลนใช้มาตรวัดพลังแห่งเทพ ก็พบว่าเธอใช้พลังไปถึง 95% จากที่สามารถปลดปล่อยได้ในแต่ละวัน
แต่ก็เพราะมนตร์บทนี้จึงทำให้ในทางทฤษฎีพวกวิญญาณร้ายไม่สามารถเข้ามาโจมตีได้อีกต่อไป เบียทริสยิ้มให้กับเอเลนก่อนจะลดคทาลง
“ตามที่คาดไว้ ใช้พลังแห่งเทพเข้ากันกับฉันได้ดีเลยนี่นา”
“ขอบคุณค่ะ คุณนาย”
พอเอเลนมองไปยังใจกลางของเมืองหลวง ก็พบว่าหมอกสีดำที่อยู่รอบๆ มหาวิทยาลัยยาได้ถูกกำแพงน้ำกลื่นกินและหายไปแล้ว
“ท่านอาจารย์ก็ใช้ศาสตร์แห่งเทพระดับสูงเหมือนกันสินะ”
เอเลนหวังว่าฟาร์มาจะกลับมาโดยเร็ว
ถ้าหากเขาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก เรื่องแบบนี้ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น เธออดที่จะคิดแบบนั้นไม่ได้
(ฟาร์มาคุงจะทำยังไงนะ ถ้ารู้เรื่องลอตเต้จังแล้ว…แถมยังมีเหตุการณ์ในเมืองหลวงนี้อีก?)
เอเลนนึกถึงการกระทำของฟาร์มาทีละอย่าง แม้ว่าเขาจะดูเป็นคนใจร้อน แต่เขาก็ไม่เคยลืมจะมองสิ่งที่อยู่รอบตัว บางครั้งเขาก็ประมาทแต่นั่นก็เพราะเขาตัดสินใจแล้วว่าต้องทำเช่นไรต่อไป และคิดถึงผลของการกระทำตัวเองไว้แล้ว
(เราจะต้องใจเย็น ค่อยๆ สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น)
ยิ่งในกรณีฉุกเฉินเธอจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลอย่างถูกต้องให้มากที่สุด
เอเลนบอกตัวเองให้ค่อยๆ คิดและใจเย็นๆ
———-
Note 1 : คนอื่นได้บทบ้างสักทีแหม่
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code